การตรวจหาสาเหตุภาวะมีบุตรยาก
ภาวะมีบุตรยาก
โดยปกติแล้ว คู่สมรสที่วางแผนมีบุตรจะสามารถตั้งครรภ์ได้ในปีแรกประมาณ 85 % และในปีที่สองประมาณ 7% แต่หากคู่สมรสที่พยายามตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ โดยมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ (2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) เป็นระยะเวลา 1 ปี แล้วยังไม่ประสบความสำเร็จจะจัดอยู่ในภาวะมีบุตรยาก ซึ่งพบได้ประมาณ 75% ทั่วโลก ดังนั้นหากคู่สมรสใดที่เข้าข่ายภาวะมีบุตรยาก ควรเข้ารับการปรึกษา ตรวจหาสาเหตุ และนับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ผลการรักษาจะดีกว่ามาเริ่มรักษาเมื่อมีอายุมากขึ้น
อายุของเพศหญิง 35+
ในปัจจุบันพบว่าปัญหาภาวะมีบุตรยากที่เกิดจากอายุของเพศหญิงนั้นมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี เมื่อผู้หญิงมีอายุสูงขึ้น จำนวนไข่และคุณภาพของไข่จะลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงไข่ที่มีพันธุกรรมที่ปกติก็มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วย เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัย 30 ตอนปลายและ 40 ตอนต้น ความสามารถในการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ผู้หญิงในช่วงวัย 45 ปีขึ้นไปโดยมากจะเข้าสู่วัยใกล้จะหมดประจำเดือน (วัยทอง) โอกาสมีบุตรเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นหากคู่ที่ฝ่ายหญิงมีอายุ 35 ปีหรือมากกว่าพยายามตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติมาแล้วเป็นเวลา 6 เดือนหรือมากกว่า ควรเข้ารับการประเมินภาวะเจริญพันธุ์โดยเร็วที่สุด
ปัจจัยจากฝ่ายชาย
สาเหตุของภาวะที่มีบุตรยากจากฝ่ายชาย พบได้ประมาณ 15-20% แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ โดยการตรวจสอบคุณภาพน้ำอสุจิ และตรวจเลือดฮอร์โมน หากผลตรวจน้ำเชื้อพบความผิดปกติมาก เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา และให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เลิกบุหรี่ เหล้า หากพบว่าอสุจิมีความผิดปกติมาก แพทย์จะแนะนำให้รับการรักษาด้วยวิธี ICSI และอาจใช้เทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยเลือกอสุจิที่มีคุณภาพดีมาทำปฏิสนธิ (ICSI) เช่น Sperm MACS, pICSI Dish
ความผิดปกติของมดลูกและโพรงมดลูก
หากมดลูกมีความผิดปกติ เช่น มีเนื้องอกมดลูก (Myoma) หรือมีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (Endometrial polyp) อาจส่งผลให้มีบุตรยากได้ โดยเนื้องอกชนิดที่ยื่นเข้าไปในโพรงมดลูก (Submucous Myoma) และติ่งเนื้อในโพรงมดลูกจะรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน หากตรวจพบแพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษาตามความเหมาะสมต่อไป
การอุดตันของท่อนำไข่
ในผู้ป่วยที่มีประวัติการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในเทียม หนองในแท้ หรือภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกรานอาจทำให้เกิดภาวะอุดตันของท่อนำไข่ในเพศหญิง ทำให้ไข่และอสุจิไม่สามารถเดินทางพบกันได้ ในกรณีที่ท่อนำไข่ทั้งสองข้างอุดตันจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ คือภาวะที่เยื่อบุผนังมดลูกเจริญภายนอกมดลูก ซึ่งพบประมาณ 10 – 50% ในผู้หญิงช่วงวัยเจริญพันธุ์ และอาจส่งผลต่อการมีบุตรยากจากภาวะอักเสบที่ทำให้ปริมาณไข่ในรังไข่และคุณภาพของไข่ลดลง รวมทั้งยังทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกรานและอาจทำให้ท่อนำไข่ตันได้ หากพบว่ามีภาวะเยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ แพทย์จะทำการรักษาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลต่อไป
สาเหตุอื่นๆ/หาสาเหตุไม่พบ
บางครั้งการประเมินภาวะมีบุตรยากอย่างครบถ้วนอาจยังไม่สามารถระบุสาเหตุชัดเจนได้ สามารถเกิดขึ้นได้ประมาณ 15% แต่แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของภาวะมีบุตรยาก เราก็ยังมีแนวทางการรักษาที่หลากหลายเพื่อช่วยแก้ปัญหาและนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่สำเร็จได้
การประเมินและการทดสอบภาวะเจริญพันธุ์
ซักประวัติและตรวจร่างกาย
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด แพทย์ผู้รักษาจะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด ซึ่งจะช่วยให้ได้แนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับคู่สมรสในแต่ละคู่ หลังจากซักประวัติและตรวจร่างกายแล้วแพทย์จะพิจารณาการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่อไปตามความเหมาะสม
อัลตร้าซาวด์ถุงในรังไข่
อัลตร้าซาวด์เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินโครงสร้างของมดลูก ท่อนำไข่และรังไข่ และตรวจในช่วงของการมีประจำเดือน (วันที่ 2-3 ของรอบเดือน) จะสามารถบอกจำนวนของฟองไข่ในรังไข่ได้ด้วย (Antral Follicle Count; AFC)
การตรวจในห้องปฏิบัติการ
ก่อนการเริ่มการรักษา ไม่ว่าจะด้วยวิธี IUI หรือ IVF/ ICSI จะมีการตรวจเลือดประเมินความพร้อมก่อนรักษา เช่น ความสมบูรณ์ของเลือด (Complete Blood Count; CBC) ตรวจคัดกรองพาหะธาลัสซีเมีย (Hb Typing) การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (ตับอักเสบบี ตับเอกเสบซี ซิฟิลิส เอดส์ กรุ๊ปเลือด) นอกจากนี้ในฝ่ายหญิงจะมีการตรวจระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก เช่น ฮอร์โมน AMH (ประเมินปริมาณไข่ในร่างกาย) ฮอร์โมนไทรอยด์ (TSH) ฮอร์โมนน้ำนม (Prolactin) ผลที่ได้จะนำมาประเมินวิธีที่เหมาะสมในการรักษาต่อไป
การฉีดสีตรวจโพรงมดลูกและปีกมดลูก
แพทย์อาจสั่งให้ทำการฉีดสีตรวจโพรงมดลูกและปีกมดลูก (Hysterosalpingogram: HSG) ในกรณีที่สงสัยว่าอาจมีท่อนำไข่อุดตัน หรือสงสัยว่ามีความผิดปกติในโพรงมดลูก เช่น พังผืด เนื้องอกที่เบียดโพรงมดลูก
การตรวจวิเคราะห์น้ำเชื้ออสุจิ
การตรวจวิเคราะห์น้ำเชื้ออสุจิเป็นการทดสอบหลักเพื่อประเมินฝ่ายชาย โดยจะประเมินปริมาณ ความหนาแน่น การเคลื่อนไหว ตลอดจนรูปร่างของอสุจิ หากการวิเคราะห์ได้ผลที่ผิดปกติอาจทำการตรวจประเมินเพิ่มเติม หรือใช้เทคนิคการเก็บน้ำเชื้ออสุจิพิเศษ หรือวิธีการปฏิสนธิรูปแบบอื่น