ข่าวสารและบทความ

𝐒𝐮𝐩𝐞𝐫𝐢𝐨𝐫 𝐀.𝐑.𝐓. 𝐋𝐈𝐕𝐄 : 🅔🅟.47 ❝ ท้องแล้ว แต่มีเลือดออก ทำอย่างไรดี ต้องกังวลไหม ❞


“ท้องแล้ว แต่มีเลือดออก ทำอย่างไรดี ต้องกังวลไหม” 


สำหรับคุณแม่ที่ท้องเองตามธรรมชาติ โอกาสเกิดการแท้งจะอยู่ที่ประมาณ 13% ต่อการตั้งครรภ์แต่ละครั้งและมีคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องแท้งซ้ำซากหรือแท้งติดกันหลายๆ ครั้ง ประมาณ 1-2%

หากท้องด้วยวิธีธรรมชาติแล้วแท้งเอง จะแบ่งเป็นการแท้งช่วงไตรมาสแรก หรือช่วงก่อน 12 สัปดาห์ และไตรมาสที่ 2 หรือช่วงหลัง 12 สัปดาห์ขึ้นไป


ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแท้ง มีดังนี้

1. การมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมาะสม เช่น

  • การสูบบุหรี่ การได้รับสารโลหะหนักเป็นเวลานาน อาจจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการแท้งบุตรได้
  • การได้รับสารเคมียาฆ่าแมลงเป็นประจำ อาจทำให้มีปัญหาการแท้งซ้ำซาก
  • การได้รับวิตามิน หรือ Micronutrients ที่ไม่เพียงพอ เช่น ขาด Zinc หรือวิตามินบี อาจจะส่งผลให้เกิดการแท้งได้ง่ายขึ้น
  • น้ำหนักที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป เพราะมวลไขมันของคุณแม่ควรจะอยู่เกณฑ์ปกติ หากคุณแม่อ้วนเกินไป การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกอาจจะไม่ดีพอ ทำให้การฝังตัวของตัวอ่อนไม่ดี  การเชื่อมระหว่างเส้นเลือดของแม่และลูก หรือการสร้างรกไม่ดี ก็อาจจะมีโอกาสแท้งได้มากขึ้น ส่วนคุณแม่ที่น้ำหนักน้อยเกินไป มวลไขมันน้อยมากจนแทบไม่มีไขมันเลย ก็จะมีปัญหาในการท้องเช่นกัน ซึ่งคุณหมอแนะนำให้คุณแม่ทำน้ำหนักให้เหมาะสม โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI ควรอยู่ที่ระดับประมาณ 20-25 ซึ่งเป็นช่วงน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ที่เหมาะสม หากคำนวณแล้วผลออกมาน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือต่ำกว่าเกณฑ์ ควรจะทำน้ำหนักให้เหมาะสมก่อนตั้งครรภ์ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการแท้ง
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะทำให้มีโอกาสท้องยากขึ้น และแท้งง่ายขึ้น เด็กมีโอกาสเป็น Fetal Alcohol Syndrome ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องตัวเล็ก หัวเล็ก เพิ่มโอกาสตายคลอดได้
  • การออกกำลังกายมากเกินไป คือออกกำลังกายทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ซึ่งคุณหมอแนะนำว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสม คือประมาณ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อครั้ง เนื่องจากการออกกำลังกายในช่วง 30 นาทีแรกเป็นการดึงส่วนของกล้ามเนื้อไปใช้ก่อน หลังจากนั้นถึงเป็นการดึงเอาไขมันส่วนเกินไปใช้ โดยให้เลือกออกกำลังกายแบบคาดิโอ เพราะมีการกระตุ้นให้หัวใจมีการบีบตัวมากขึ้น และมีการดึงเอาไขมันส่วนเกินไปใช้ หากไม่มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ให้สังเกตจากการหอบเหนื่อยที่ยังสามารถพูดเป็นประโยคได้
  • การดื่มกาแฟมากเกินไป อาจมีผลให้เกิดการแท้งได้ โดยกาแฟจะแบ่งเป็นความเข้มข้นของคาเฟอีนระดับมิลลิกรัมต่อวัน หากดื่มน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน โอกาสที่จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ การแท้ง หรือต่อลูกน้อยมาก ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น คือ เมนู Cappuccino Grande ของ Starbucks 1 แก้วต่อวัน หรือกาแฟ Espresso ไม่เกิน 2 ช็อต ต่อวัน แต่หากดื่มกาแฟที่มีความเข้มข้นของคาเฟอีนมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะเพิ่มโอกาสการแท้ง หรือส่งผลเสียต่อเด็กได้

2. โครโมโซม

สำหรับการท้องเองตามธรรมชาติ แล้วเกิดการแท้งในช่วงประมาณ 3 เดือนแรก สาเหตุประมาณ 70-80% มาจากเด็กที่ผิดปกติ โดยส่วนใหญ่เกิดจากโครโมโซมของตัวอ่อนที่ผิดปกติ


ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติเกิดจากสาเหตุอะไร?

  • อายุคุณแม่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะท้องเองตามธรรมชาติ หรือท้องจากการทำเด็กหลอดแก้ว โดยช่วงอายุที่มีโอกาสแท้งน้อยคือประมาณ 20-35 ปี หากอายุมากกว่า 35 ปี เปอร์เซ็นต์ของการแท้งก็จะเยอะขึ้น และจะเพิ่มขึ้นชัดเจนที่สุดหลังอายุ 40 ปี
  • อสุจิของคุณพ่อที่มีการแตกหักของ DNA ที่หัวของอสุจิ (Sperm DNA fragmentation) สูง ส่วนหัวของอสุจิจะมี DNA ของฝ่ายชายอยู่ หาก DNA ที่หัวของอสุจิมีการแตกหักสูง แล้วอสุจิตัวนั้นไปผสมกับไข่ และกลายเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนตัวนั้นก็จะไม่แข็งแรง และจะมีโอกาสแท้งได้ง่ายขึ้น
  • คุณพ่อหรือคุณแม่คนใดคนหนึ่ง มีโครโมโซมที่ผิดปกติแฝงอยู่ มีภาวะโครโมโซมเรียงตัวผิดปกติ เช่น Chromosome Translocation ซึ่งหากลูกได้รับโครโมโซมแท่งที่ผิดปกติจากพ่อหรือแม่ที่มีโครโมโซมผิดปกติแฝงอยู่ แล้วไปรวมกับโครโมโซมที่ปกติของอีกฝ่ายหนึ่ง ส่งผลทำให้ลูกมีโครโมโซมขาดหรือเกินจากปกติ เมื่อตัวอ่อนที่ผิดปกติไปฝังตัว ก็เกิดการแท้งตามมา เพราะมีปัญหาเรื่องโครโมโซมที่ผิดปกติ

3. ปัญหาจากมดลูก ที่เป็นเหมือนบ้านของตัวอ่อน

  • มดลูกอักเสบ เพิ่มโอกาสที่จะแท้งได้ หรือในกรณีที่ทำเด็กหลอดแก้ว ถ้ามีมดลูกอักเสบเรื้อรัง โอกาสที่ตัวอ่อนฝังตัวก็จะลดลง
  • มดลูกมีโครงสร้างผิดปกติ เช่น มีแผ่นกั้นในโพรงมดลูก หากตัวอ่อนไปเกาะบริเวณที่มีความผิดปกติ เลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณนั้นน้อย ทำให้เมื่อเกาะไปได้สักพักก็จะหลุด จนเกิดการแท้งได้ บางกรณี คนไข้มีมดลูก 2 อัน และการเจริญเติบโตของมดลูกทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน หากตัวอ่อนไปฝังที่มดลูกด้านที่ไม่สมบูรณ์ ก็มีโอกาสที่จะท้องน้อยลง และเพิ่มโอกาสแท้งได้มากขึ้น
  • มีเนื้องอก ซึ่งอาจจะมีผลกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องแล้วมีเลือดออกได้ หรือหากในโพรงมดลูกมีพังผืด ก็ทำให้ตัวอ่อนเกิดการฝังตัวได้ไม่ดี เลือดไปเลี้ยงตัวอ่อนได้ไม่ดี ทำให้แท้งได้
  • ปากมดลูกไม่แข็งแรง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อย คนไข้ท้องโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่มักจะเกิดการแท้งในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ หรือตั้งแต่อายุครรภ์ช่วงหลัง 12 สัปดาห์ถึงช่วงประมาณ 20 สัปดาห์ ซึ่งปากมดลูกเปรียบเสมือนประตูบ้านของมดลูก หากประตูบ้านไม่แข็งแแรง อาจทำให้เกิดการหลุดแท้งได้ ภาวะนี้เรียกว่า Cervical Incompetence ปัญหาของภาวะนี้ คือไม่สามารถรู้ล่วงหน้าก่อนที่จะท้องได้ แต่หากมีประวัติการตั้งครรภ์ที่ผ่านมาว่าที่เข้าได้กับภาวะนี้ ก็จะต้องระวังมากขึ้น โดยในระหว่างที่ตั้งครรภ์แพทย์ก็จะเพิ่มการตรวจอัลตราซาวน์เพื่อวัดความยาวของปากมดลูกเป็นระยะ ถ้าปากมดลูกเริ่มสั้นลง ก็จะผูกปากมดลูกโดยการเย็บปิดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง แล้วค่อยไปตัดตรงส่วนที่เย็บไว้ ตอนใกล้คลอด นอกจากที่ต้องเย็บปากมดลูก อาจให้เหน็บยาโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยไม่ให้ปากมดลูกสั้น
  • ในผู้หญิงที่มีรอบเดือนข้างค่อนสั้น เช่น มีประจำเดือนทุกๆ 24-26 วัน อาจจะมีภาวะที่เรียกว่า Corpus luteal defect ทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เป็นฮอร์โมนที่ประคองการตั้งครรภ์ไม่เพียงพอ อาจจะมีโอกาสแท้งง่ายขึ้นได้เช่นกัน

4. ปัจจัยอื่นๆ ที่มองไม่เห็น

ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะแท้ง ที่ต้องตรวจเพิ่มเติมจากการตรวจเลือด เช่น

  • ความผิดปกติแของระบบภูมิคุ้มกัน (Antibody) หากร่างกายมีระดับภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านตัวเองสูงผิดปกติ เช่นมีภาวะ Antiphospholipid Syndrome จะสัมพันธ์กับการที่เกล็ดเลือดอุดเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงลูก ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ทำให้เกิดการแท้ง หรือเด็กเสียชีวิตในครรภ์ หรือโตช้าในครรภ์ได้
  • ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ หรือฮอร์โมนโปรแลคตินผิดปกติ ก็มีโอกาสที่จะแท้งได้มากขึ้นเช่นกัน

หากคุณแม่เคยมีประวัติแท้ง แล้วกำลังมีแผนจะท้องอีกครั้ง ควรมาปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ และป้องกันการแท้งในท้องถัดไป

สำหรับคนไข้ที่มีลูกยากและรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการย้ายกลับเข้าโพรงมดลูก จะช่วยลดภาวะแท้งจากสาเหตุโครโมโซมที่ผิดปกติของลูก โดยเฉพาะในคุณแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป

การตรวจโครโมโซมจะช่วยให้เราเลือกตัวอ่อนที่เหมาะสมที่สุด สำหรับย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ลดโอกาสเรื่องแท้งจากทั้งตัวเด็กที่ผิดปกติ ไม่ต้องเสี่ยงที่จะต้องยุติการตั้งครรภ์จากการที่เด็กมีโครโมโซมผิดปกติ

คนไข้ที่สงสัยว่ามีปัญหาเรื่องมดลูกที่ผิดปกติ การตรวจอัลตราซาวด์ จะช่วยพบความผิดปกติได้ หากอัลตราซาวด์แบบ 2 มิติ ไม่ชัดเจน อาจเพิ่มการตรวจอัลตราซาวด์ 3 มิติ ซึ่งช่วยดูเรื่องโพรงมดลูกที่ผิดปกติ หรือโครงสร้างของมดลูกที่ผิดปกติ เช่น มีมดลูก 2 อัน หรือมีแผ่นกั้นของมดลูกได้ดีขึ้น

ปัญหาโพรงมดลูกอักเสบ อาจจะตรวจพบจากการทำอัลตราซาวด์ค่อนข้างยาก จุดที่พอจะสังเกตได้ เช่น ตรวจพบน้ำในโพรงมดลูก การวินิจฉัยที่ชัดเจนต้องส่องกล้องในโพรงมดลูกถึงจะเห็นว่ามีการอักเสบอยู่ในโพรงมดลูกได้ หลังได้รับการรักษาภาวะนี้ โอกาสที่ตัวอ่อนฝังตัวก็อาจจะดีขึ้นมาก

สำหรับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่วนใหญ่แล้วคนไข้ที่มีภาวะ Antiphospholipid Syndrome จะมีประวัติค่อนข้างชัดเจน เช่น ท้องไปประมาณ 20 สัปดาห์ แล้วเด็กเสียชีวิตในครรภ์ แบบที่ไม่มีอาการใดๆ นำมาก่อน เช่น เลือดออกหรือปวดท้อง หรือในกรณีที่ใส่ตัวอ่อนที่ตรวจโครโมโซมปกติไปแล้ว ทุกอย่างราบรื่นมาโดยตลอด เห็นถุงการตั้งครรภ์ หัวใจลูกปกติ แต่อยู่ๆ หัวใจเด็กหยุดเต้น อาจจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องนี้ได้


หากท้องแล้วมีเลือดออกควรทำอย่างไร?

สำหรับกรณีที่ท้องเองตามธรรมชาติแล้วมีเลือดออก ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอัลตราซาวด์ดูว่าเป็นท้องที่ผิดปกติหรือไม่ เช่น ท้องนอกมดลูก ซึ่งคนไข้จะไม่มีอาการใดๆ ในช่วงแรก ต่อมาจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยและปวดท้องมาก การตรวจอัลตราซาวด์ดูว่าถุงการตั้งครรภ์อยู่ในโพรงมดลูกหรือนอกมดลูก เห็นหัวใจลูกเต้นดีหรือไม่ หากเป็นการท้องนอกมดลูก ก็ต้องรับการรักษาต่อไป หากเป็นการตั้งครรภ์ในมดลูกปกติ แล้วมีเลือดออก จะเรียกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม คุณหมอจะฉีดยากันแท้ง ซึ่งก็คือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อช่วยลดการบีบตัวของมดลูก และนัดมาตรวจซ้ำที่ 1 สัปดาห์

คนไข้ที่มีภาวะแท้งคุกคาม 60-70% จะสามารถตั้งครรภ์ต่อได้ ยกเว้นว่าเกิดจากที่เด็กไม่แข็งแรง หรือมีโครโมโซมที่ผิดปกติ

ส่วนการปฏิบัติตัวหลังมีเลือดออก ควรจะพัก ลดการขับรถ ลดการเดินเยอะๆ นานๆ ลดการออกกำลังกาย ไม่ยกของ งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่มีการเบ่งบริเวณหน้าท้อง เพื่อไม่ให้มดลูกบีบตัวและลดเลือดออก

สำหรับคนไข้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว ปกติจะรับได้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อประคองการตั้งครรภ์อยู่แล้ว

แต่ก็ยังมีโอกาสที่มีเลือดออกได้อยู่ เนื่องจากการท้องจากการทำเด็กหลอดแก้วจะมีความเปราะบางมากกว่าการท้องโดยธรรมชาติ เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกถูกเตรียมจากการใช้ฮอร์โมนจากภายนอก หากลืมทานยา หรือสอดยา ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดลง อาจทำให้มดลูกบีบตัว แล้วแท้งได้ โดยคุณแม่ควรใช้ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไปจนถึงอายุครรภ์ประมาณ 10 สัปดาห์ ช่วงประมาณ 7-10 สัปดาห์ รกของลูกจะสร้างฮอร์โมนมาประคองตัวเองได้แล้ว ส่วนใหญ่จึงจะเริ่มหยุดยาที่ประมาณ 10 สัปดาห์ หรือเร็วที่สุดประมาณ 7 สัปดาห์

นอกจากนี้ คนไข้ที่มีลูกยากมักจะมีปัญหาหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้องอกมดลูก หรือโพรงมดลูกผิดปกติ มีโอกาสทำให้มดลูกมีการบีบตัวและแท้งได้มากกว่าการท้องตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น นอกเหนือจากการใช้ยาตามที่คุณหมอให้แล้ว การปฏิบัติตัวของคุณแม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน หากเดินเยอะ ออกกำลังหนัก ยกของหนัก เบ่งถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ก็อาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีเลือดออกได้ ถ้ามีสาเหตุพิเศษอื่นๆ เช่น Antiphospholipid Syndrome การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน จะลดโอกาสแท้งได้

สำหรับคนไข้ที่มีประวัติแท้งมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร คุณหมอก็แนะนำว่าควรมาปรึกษาเพื่อหาสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแท้งซ้ำ เพราะการแท้งหลายๆ ครั้ง และถูกขูดมดลูกหลายครั้ง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดพังผืดในมดลูก หรือมดลูกอักเสบติดเชื้อ ทำให้ท้องยากขึ้นเรื่อยๆ หากมีการตรวจหาสาเหตุ วางแผนวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะช่วยลดปัญหาการแท้งซ้ำในครั้งต่อไป

ข่าวสารและบทความอื่นๆ

ไลฟ์สไตล์ที่ปรับเปลี่ยน ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ในสังคมสมัยใหม่

รู้หรือไม่ว่า การมีบุตรยากกำลังเป็นภัยเงียบในสังคมยุคใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรม และค่านิยมที่เปลี่ยนไปของผู้คนในยุคปัจจุบัน

𝐒𝐮𝐩𝐞𝐫𝐢𝐨𝐫 𝐀.𝐑.𝐓. 𝐋𝐈𝐕𝐄 : 🅔🅟.43 ❝ 𝗘𝗺𝗯𝗿𝘆𝗼 𝗚𝗹𝘂𝗲 เหมาะกับใคร แล้วช่วยให้ท้องได้อย่างไร ❞

Embryo Glue เป็นเทคนิคใหม่ที่อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น แล้วช่วยในเรื่องของการฝังตัวอ่อนอย่างไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง

ถามหมอ 💬 กับหมอจิว : ปล่อยธรรมชาตินานแค่ไหน ถึงเข้าข่ายมีลูกยาก

เพราะระยะเวลาในการตั้งครรภ์ของคู่สมรสที่ปล่อยธรรมชาติ จะมีความแตกต่างกันไป หลายคนเกิดคำถามว่า ต้องพยายามมีลูกตามธรรมชาติมานานแค่ไหน ถึงจะถือว่าเข้าข่ายมีบุตรยาก?