“ท้องแล้ว แต่มีเลือดออก ทำอย่างไรดี ต้องกังวลไหม”
สำหรับคนไข้ที่กำลังตั้งท้องแล้วมีเลือดออก หรือที่เรียกว่ามีภาวะแท้งคุกคามเกิดขึ้น ควรทำอย่างไร การแท้งในคนไข้ที่ตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ มีสาเหตุที่แตกต่างจากคนไข้ที่ตั้งครรภ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้วหรือไม่ และมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการแท้งในครั้งต่อไปได้อย่างไร?
สำหรับคุณแม่ที่ท้องเองตามธรรมชาติ โอกาสเกิดการแท้งจะอยู่ที่ประมาณ 13% ต่อการตั้งครรภ์แต่ละครั้งและมีคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องแท้งซ้ำซากหรือแท้งติดกันหลายๆ ครั้ง ประมาณ 1-2%
หากท้องด้วยวิธีธรรมชาติแล้วแท้งเอง จะแบ่งเป็นการแท้งช่วงไตรมาสแรก หรือช่วงก่อน 12 สัปดาห์ และไตรมาสที่ 2 หรือช่วงหลัง 12 สัปดาห์ขึ้นไป
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแท้ง มีดังนี้
1. การมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมาะสม เช่น
2. โครโมโซม
สำหรับการท้องเองตามธรรมชาติ แล้วเกิดการแท้งในช่วงประมาณ 3 เดือนแรก สาเหตุประมาณ 70-80% มาจากเด็กที่ผิดปกติ โดยส่วนใหญ่เกิดจากโครโมโซมของตัวอ่อนที่ผิดปกติ
ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติเกิดจากสาเหตุอะไร?
3. ปัญหาจากมดลูก ที่เป็นเหมือนบ้านของตัวอ่อน
4. ปัจจัยอื่นๆ ที่มองไม่เห็น
ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะแท้ง ที่ต้องตรวจเพิ่มเติมจากการตรวจเลือด เช่น
หากคุณแม่เคยมีประวัติแท้ง แล้วกำลังมีแผนจะท้องอีกครั้ง ควรมาปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ และป้องกันการแท้งในท้องถัดไป
สำหรับคนไข้ที่มีลูกยากและรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการย้ายกลับเข้าโพรงมดลูก จะช่วยลดภาวะแท้งจากสาเหตุโครโมโซมที่ผิดปกติของลูก โดยเฉพาะในคุณแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
การตรวจโครโมโซมจะช่วยให้เราเลือกตัวอ่อนที่เหมาะสมที่สุด สำหรับย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ลดโอกาสเรื่องแท้งจากทั้งตัวเด็กที่ผิดปกติ ไม่ต้องเสี่ยงที่จะต้องยุติการตั้งครรภ์จากการที่เด็กมีโครโมโซมผิดปกติ
คนไข้ที่สงสัยว่ามีปัญหาเรื่องมดลูกที่ผิดปกติ การตรวจอัลตราซาวด์ จะช่วยพบความผิดปกติได้ หากอัลตราซาวด์แบบ 2 มิติ ไม่ชัดเจน อาจเพิ่มการตรวจอัลตราซาวด์ 3 มิติ ซึ่งช่วยดูเรื่องโพรงมดลูกที่ผิดปกติ หรือโครงสร้างของมดลูกที่ผิดปกติ เช่น มีมดลูก 2 อัน หรือมีแผ่นกั้นของมดลูกได้ดีขึ้น
ปัญหาโพรงมดลูกอักเสบ อาจจะตรวจพบจากการทำอัลตราซาวด์ค่อนข้างยาก จุดที่พอจะสังเกตได้ เช่น ตรวจพบน้ำในโพรงมดลูก การวินิจฉัยที่ชัดเจนต้องส่องกล้องในโพรงมดลูกถึงจะเห็นว่ามีการอักเสบอยู่ในโพรงมดลูกได้ หลังได้รับการรักษาภาวะนี้ โอกาสที่ตัวอ่อนฝังตัวก็อาจจะดีขึ้นมาก
สำหรับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่วนใหญ่แล้วคนไข้ที่มีภาวะ Antiphospholipid Syndrome จะมีประวัติค่อนข้างชัดเจน เช่น ท้องไปประมาณ 20 สัปดาห์ แล้วเด็กเสียชีวิตในครรภ์ แบบที่ไม่มีอาการใดๆ นำมาก่อน เช่น เลือดออกหรือปวดท้อง หรือในกรณีที่ใส่ตัวอ่อนที่ตรวจโครโมโซมปกติไปแล้ว ทุกอย่างราบรื่นมาโดยตลอด เห็นถุงการตั้งครรภ์ หัวใจลูกปกติ แต่อยู่ๆ หัวใจเด็กหยุดเต้น อาจจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องนี้ได้
หากท้องแล้วมีเลือดออกควรทำอย่างไร?
สำหรับกรณีที่ท้องเองตามธรรมชาติแล้วมีเลือดออก ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอัลตราซาวด์ดูว่าเป็นท้องที่ผิดปกติหรือไม่ เช่น ท้องนอกมดลูก ซึ่งคนไข้จะไม่มีอาการใดๆ ในช่วงแรก ต่อมาจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยและปวดท้องมาก การตรวจอัลตราซาวด์ดูว่าถุงการตั้งครรภ์อยู่ในโพรงมดลูกหรือนอกมดลูก เห็นหัวใจลูกเต้นดีหรือไม่ หากเป็นการท้องนอกมดลูก ก็ต้องรับการรักษาต่อไป หากเป็นการตั้งครรภ์ในมดลูกปกติ แล้วมีเลือดออก จะเรียกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม คุณหมอจะฉีดยากันแท้ง ซึ่งก็คือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อช่วยลดการบีบตัวของมดลูก และนัดมาตรวจซ้ำที่ 1 สัปดาห์
คนไข้ที่มีภาวะแท้งคุกคาม 60-70% จะสามารถตั้งครรภ์ต่อได้ ยกเว้นว่าเกิดจากที่เด็กไม่แข็งแรง หรือมีโครโมโซมที่ผิดปกติ
ส่วนการปฏิบัติตัวหลังมีเลือดออก ควรจะพัก ลดการขับรถ ลดการเดินเยอะๆ นานๆ ลดการออกกำลังกาย ไม่ยกของ งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่มีการเบ่งบริเวณหน้าท้อง เพื่อไม่ให้มดลูกบีบตัวและลดเลือดออก
สำหรับคนไข้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว ปกติจะรับได้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อประคองการตั้งครรภ์อยู่แล้ว
แต่ก็ยังมีโอกาสที่มีเลือดออกได้อยู่ เนื่องจากการท้องจากการทำเด็กหลอดแก้วจะมีความเปราะบางมากกว่าการท้องโดยธรรมชาติ เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกถูกเตรียมจากการใช้ฮอร์โมนจากภายนอก หากลืมทานยา หรือสอดยา ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดลง อาจทำให้มดลูกบีบตัว แล้วแท้งได้ โดยคุณแม่ควรใช้ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไปจนถึงอายุครรภ์ประมาณ 10 สัปดาห์ ช่วงประมาณ 7-10 สัปดาห์ รกของลูกจะสร้างฮอร์โมนมาประคองตัวเองได้แล้ว ส่วนใหญ่จึงจะเริ่มหยุดยาที่ประมาณ 10 สัปดาห์ หรือเร็วที่สุดประมาณ 7 สัปดาห์
นอกจากนี้ คนไข้ที่มีลูกยากมักจะมีปัญหาหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้องอกมดลูก หรือโพรงมดลูกผิดปกติ มีโอกาสทำให้มดลูกมีการบีบตัวและแท้งได้มากกว่าการท้องตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น นอกเหนือจากการใช้ยาตามที่คุณหมอให้แล้ว การปฏิบัติตัวของคุณแม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน หากเดินเยอะ ออกกำลังหนัก ยกของหนัก เบ่งถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ก็อาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีเลือดออกได้ ถ้ามีสาเหตุพิเศษอื่นๆ เช่น Antiphospholipid Syndrome การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน จะลดโอกาสแท้งได้
สำหรับคนไข้ที่มีประวัติแท้งมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร คุณหมอก็แนะนำว่าควรมาปรึกษาเพื่อหาสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแท้งซ้ำ เพราะการแท้งหลายๆ ครั้ง และถูกขูดมดลูกหลายครั้ง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดพังผืดในมดลูก หรือมดลูกอักเสบติดเชื้อ ทำให้ท้องยากขึ้นเรื่อยๆ หากมีการตรวจหาสาเหตุ วางแผนวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะช่วยลดปัญหาการแท้งซ้ำในครั้งต่อไป