ข่าวสารและบทความ

𝐒𝐮𝐩𝐞𝐫𝐢𝐨𝐫 𝐀.𝐑.𝐓. 𝐋𝐈𝐕𝐄 : 🅔🅟.56 ❝8 คำถามยอดฮิต ของคนมีลูกยาก❞


คุณหมอนิ พญ. นิศารัตน์ สุนทราภา – สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก มาตอบคำถามและให้ความรู้เกี่ยวกับ ❝8 คำถามยอดฮิต ของคนมีลูกยาก❞ ดังนี้

1. ถ้ามีไข่เหลือน้อย จะต้องรีบทำเด็กหลอดแก้วเลยไหม ลองธรรมชาติและ IUI ก่อนได้หรือไม่? 2:36

เราจะรู้ว่ามีไข่เหลืออยู่เยอะน้อยแค่ไหนได้อย่างไร ? เราสามารถรู้ได้จากการเจาะเลือด ดูค่าฮอร์โมน AMH ค่า AMH นี้ จะบ่งถึงปริมาณไข่ที่เหลืออยู่ในช่วงอายุปีนี้ ถ้าค่า AMH น้อยกว่า 0.5-1.1 ng/mL แปลว่ามีปริมาณไข่ในรังไข่เหลืออยู่น้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังสามารถรู้จำนวนไข่ได้ จากการอัลตราซาวด์ช่วงวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบเดือน เพื่อดูจำนวนฟองไข่ในรังไข่ ก็จะบ่งบอกถึงปริมาณไข่ของรอบเดือนนั้นๆ ได้  

ถ้าค่า AMH ต่ำหรือมีจำนวนไข่เหลือน้อย ต้องรีบไปทำ IVF เลยไหม

การที่ผู้หญิงจะตั้งครรภ์นั้น มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิง

  • ฝ่ายชาย ก็คืออสุจิดีหรือไม่ดี ดูได้จากจำนวนอสุจิ, % ตัววิ่งของอสุจิ, รูปร่างของอสุจิที่ปกติมีกี่เปอร์เซ็นต์
  • ฝ่ายหญิง ปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ เริ่มตั้งแต่ต้องมีช่องคลอดที่ปกติ มดลูกและโพรงมดลูกที่ปกติ มีโพรงมดลูกที่สวย เรียงตัวดี 3 ชั้น ความหนาอยู่ในเกณฑ์ปกติ 8-10 มม. ต้องมีท่อนำไข่อย่างน้อย 1 ข้างที่ไม่ตัน และมีไข่ตกอย่างน้อย 1 ใบต่อรอบเดือน ในข้างของท่อนำไข่ที่ไม่ตัน เพื่อให้อสุจิว่ายไปเจอกับไข่ได้

หากอสุจิของฝ่ายชายไม่ดี มีตัววิ่งน้อยหรือจำนวนตัวน้อย อาจจะเป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจในการทำเด็กหลอดแก้วได้เร็วขึ้น เพราะจำนวนตัววิ่งของอสุจิเป็นตัวกำหนดว่าจะสามารถท้องเองตามธรรมชาติได้หรือไม่ ถ้าตัววิ่งน้อยกว่า 10-15 ล้านตัวต่อการหลั่ง 1 ครั้ง จะเป็นสิ่งที่เตือนว่าเราไม่ควรเสียเวลากับรอบธรรมชาติ หรือ IUI นานมากเกินไป ควรจะขยับไปทำเด็กหลอดแก้วเร็วขึ้น โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหญิงอายุเยอะและมีไข่น้อย

สำหรับฝ่ายหญิง ถ้าท่อนำไข่ดี ไม่ตัน ถ้าฝ่ายหญิงอายุไม่เกิน 35 ปี ถึงไข่น้อย แต่มีไข่ที่โต และสามารถมีเพศสัมพันธ์หรือทำ IUI ฉีดเชื้อเข้าไปตรงกับวันที่ไข่ตก โอกาสท้องก็ยังดีอยู่

ฉะนั้นถ้าอายุฝ่ายหญิงไม่เยอะ ท่อนำไข่ไม่ตัน ถึงไข่จะน้อย และอสุจิฝ่ายชายดี คุณหมอคิดว่าสามารถลองวิธีธรรมชาติหรือทำ IUI ก่อนได้ โดยอาจลองวิธีธรรมชาติ 2-3 เดือน และทำ IUI 1-2 รอบ ถ้าไม่สำเร็จค่อยเปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้ว ไม่ต้องรอนาน

ส่วนจำนวนรอบของการทำ IUI คนไข้สามารถทำได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะเปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้วหรือยัง ถ้าเรายังมีไข่โต เยื่อบุโพรงมดลูกดี และท่อนำไข่ไม่ตัน ก็สามารถทำ IUI ได้ แต่คนไข้ส่วนใหญ่จะท้องสำเร็จจากการทำ IUI ในช่วงรอบที่ 1-2 มากที่สุด แต่ก็สามารถทำได้เรื่อยๆ ถึง 6 รอบ เมื่อเกิน 6 รอบ เปอร์เซ็นต์ท้องจากการทำ IUI จะเริ่มคงที่ จึงมีคำแนะนำว่าถ้าคนไข้เคย IUI เกิน 6 รอบแล้วไม่สำเร็จควรจะเปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้ว

หากคนไข้อายุเริ่มเยอะ บวกกับไข่เริ่มน้อย อาจจะไม่ต้องรอจนถึง 6 รอบ ถ้า 1-2 รอบแล้วยังไม่สำเร็จ ก็ควรเปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้วเลย


2. ทำอย่างไรให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพดี? 8:04

แม้จะมีปัจจัยบางอย่างที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แต่คนไข้ที่จะทำเด็กหลอดแก้วควรพยายามดูแลตัวเอง ทานวิตามิน เพื่อให้ได้ไข่ที่ดีที่สุด เพิ่มโอกาสที่จะได้ตัวอ่อนที่ดีในรอบแรกที่กระตุ้นไข่

2.1 การปรับไลฟ์สไตล์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เริ่มตั้งแต่ นอนดี ควรเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะร่างกายหลั่ง Growth Hormone ช่วงเวลา 5 ทุ่มถึงตี 1 โดย Growth Hormone มีผลต่อคุณภาพและจำนวนไข่ ถ้าข้ามเวลานอนช่วงนี้ไป ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone น้อย เพราะหลั่งขณะที่เราหลับ ส่วนระยะเวลานอนอยู่ที่ 6-8 ชม. และหากนอนครบ 8 ชม. แต่ไม่ได้นอนช่วง 5 ทุ่ม ก็อาจจะได้ประโยชน์น้อยกว่า แม้จำนวนชั่วโมงจะครบก็ตาม

2.2 กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดแป้งและน้ำตาล เพิ่มโปรตีน โดยโปรตีนที่หาได้ง่ายคือจากไข่ขาววันละ 1 ฟอง สำหรับโปรตีนจากสัตว์คุณหมอแนะนำให้เลือกสัตว์เล็กที่ไม่ติดมัน และถ้าเทียบระหว่าง Plant-based Protein กับ Whey Protein ตัว Plant-based Protein จะเป็นโปรตีนที่คุณภาพดีกว่าในเรื่องการบำรุงไข่

2.3 กินวิตามินที่จำเป็น

  • โฟลิค เป็นวิตามินหลักสำหรับคนท้อง
  • วิตามินดี ในปัจจุบันมีงานวิจัยออกมาเยอะว่า คนที่มีลูกยากขาดวิตามินดี จึงควรกินเสริมไว้
  • กลุ่ม Antioxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซี, วิตามินอี และ CoQ10 อาจจะช่วยให้คุณภาพไข่ดีขึ้น เพราะจะไปจับกับออกซิเจนที่อยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งออกซิเจนทำให้เกิดการอักเสบ อาจจะทำให้คุณภาพของไข่และการตอบสนองของไข่น้อยลง รวมถึง Astaxanthin หนึ่งในวิตามินในกลุ่ม Antioxidant ซึ่งอาจจะทำให้คุณภาพของไข่ดีขึ้น
  • DHEA ไม่ได้ช่วยเพิ่มคุณภาพ แต่อาจจะช่วยเพิ่มปริมาณได้ ซึ่งไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางคนกินแล้วจำนวนไข่ลดลง ฉะนั้นการกิน DHEA ต้องเป็นกลุ่มคนไข้ที่มีจำนวนไข่น้อยหรืออายุค่อนข้างเยอะ ถึงจะได้ประโยชน์ ถ้าเป็นคนไข้ที่มีไข่เยอะ เช่น PCOS ไม่ต้องกิน DHEA เพราะจะทำให้คุณภาพไข่แย่ลง
  • Inositol เหมาะสำหรับคนไข้ที่เป็น PCOS ที่มีไข่เยอะ ไข่ไม่ตกเรื้อรัง แต่ถ้าคนไข้ไม่ได้เป็น PCOS ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์

ส่วนวิธีทางการแพทย์ เช่น การฉีด PRP เป็นการฉีดส่วนประกอบของเลือด ส่วน Platelet-rich Plasma (PRP) เข้าไปในรังไข่ โดยเจาะเลือดของตัวเอง แล้วนำไปปั่นให้เลือดแยกชั้น และเลือกเฉพาะชั้นที่มีเกล็ดเลือดสูง ฉีดกลับเข้าไปในรังไข่ โดยจะฉีดเข้าไปในเนื้อขาวๆ ที่อยู่ข้างฟองไข่ ซึ่งใน PRP จะมีสเต็มเซลล์ต่างๆ อาจจะช่วยให้จำนวนไข่ในรอบเดือนต่อๆ ไปเพิ่มขึ้น หรือการตอบสนองของไข่ต่อการกระตุ้นดีขึ้น จากประสบการณ์ของคุณหมอที่เคยฉีด PRP เข้าไปในรังไข่ประมาณ 10 กว่าเคส คนไข้ที่ทำ PRP แล้วได้ประโยชน์ ประมาณ 3-4 ราย จาก 10 ดังนั้น การเลือกทำ PRP ต้องพิจารณาทั้งผลดี ผลเสีย ก่อนที่จะตัดสินใจทำ ความเสี่ยงจากการทำ PRP มีได้ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด มีผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ ติดเชื้อหลังทำได้ แต่โอกาสเกิดน้อย


3. จากจำนวนอสุจิที่มีเยอะเป็นล้านๆ ตัว จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนดี และมีวิธีเลือกอสุจิอย่างไร? 16:39

เวลาตรวจอสุจิจะวัดจำนวนตัวอสุจิ %ตัวอสุจิที่วิ่งเร็ว วิ่งช้า %ตัววิ่งที่วิ่งไปด้านหน้า %ตัวอสุจิที่มีชีวิต และอีกสิ่งที่สำคัญก็คือ %รูปร่างของอสุจิที่ปกติ

โดยอสุจิจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหัว ส่วนกลางตัว และส่วนหาง ด้านในส่วนหัวจะมี DNA และโครโมโซมอยู่ ตรงกลางตัวเป็นแหล่งพลังงานของอสุจิ และส่วนหางมีไว้ว่ายเพื่อไปเจอไข่ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ รูปร่างที่ปกติ โดยเฉพาะส่วนหัว ถ้าหัวมีรูปร่างผิดปกติ เช่น มีหัวขนาดใหญ่ หรือเล็กกว่าปกติ หรือหัวรูปร่างแหลม หรืออาจจะมี 2 หัว จะบ่งบอกว่า อสุจิตัวนั้น น่าจะมีโครโมโซมที่ผิดปกติ ซึ่งถ้าอสุจิตัวที่ผิดปกติ เข้าไปผสมกับไข่ ก็มีโอกาสที่จะได้ตัวอ่อนที่ผิดปกติ ไม่ฝังตัวในมดลูก หรือฝังตัวแล้วก็เกิดการแท้งตามมา

นอกเหนือจากการตรวจอสุจิตามที่กล่าว ปัจจุบันนี้มีการตรวจที่ละเอียดมากขึ้น ไปถึงว่าภายในหัวอสุจิมีการแตกหักของ DNA (SDF; Sperm DNA Fragmentation) หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้จะย้อมสีตัวอสุจิ เพื่อดูว่าลักษณะของสีที่ติดอยู่ที่หัวของอสุจิเป็นอย่างไร มีการแตกหักของ DNA เยอะหรือน้อย ซึ่งการตรวจ SDF นี้ จะสัมพันธ์กับคุณภาพของอสุจิมากกว่าการตรวจแบบปกติ  ดังนั้น หากคนไข้เคยทำเด็กหลอดแก้วมาแล้วได้ตัวอ่อนคุณภาพไม่ดี หรือตัวอ่อนมีโครโมโซมผิดปกติเยอะ อาจจะพิจารณาตรวจ Sperm DNA Fragmentation ถ้ามีการแตกหักของ DNA ที่หัวอสุจิเยอะ คุณหมอจะให้คนไข้กลับไปบำรุง ปรับพฤติกรรม ทานวิตามิน และอาจจะพิจารณาใช้ Sperm MACs เพื่อช่วยเลือกอสุจิที่ดีมีการแตกหักของ DNA น้อยที่สุด มาทำ ICSI เพื่อลดปัญหาจากฝ่ายชาย

นอกจากนี้ วิธีที่กล่าวไปแล้ว เมื่อนักวิทย์ฯ เลือกอสุจิ ตอนที่จะทำ ICSI (ฉีดอสุจิเข้าไปในไข่)  นักวิทย์ฯ ก็จะเลือกด้วยตาใต้กล้องจุลทรรศน์อีกครั้ง โดยเลือกจากอสุจิตัวที่วิ่งไปข้างหน้า และรูปร่างปกติที่สุดก่อนจะนำไปผสมกับไข่ต่อไป


4. Sperm MACs คืออะไร ทุกคนควรต้องใช้หรือไม่? 22:20

Sperm MACs เป็นการต่อยอดมาจาก Sperm DNA Fragmentation

เมื่อก่อนการทำเด็กหลอดแก้ว วิธีการผสมอสุจิกับไข่ ใช้วิธี IVF โดยการหยดอสุจิให้เข้าไปเจาะไข่โดยตรง หลังจากนั้นก็พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเลือกอสุจิและฉีดเข้าไปในไข่ (ICSI) ในปัจจุบันนี้ นอกจากการทำ ICSI แล้ว ก่อน ICSI ก็มีเทคนิคในการเลือกอสุจิตัวที่ดี ไปผสมกับไข่

Sperm MACs เป็นหนึ่งในวิธีดังกล่าว โดยวิธีการแยกอสุจินั้น ใช้หลักการที่ว่า อสุจิตัวที่ดี มี DNA ปกติ ไม่มีการแตกหักหรือแตกหักน้อย จะมีความต่างศักย์ไฟฟ้า (ขั้วบวก ขั้วลบ) ที่แตกต่างจากอสุจิที่ไม่ดี

Sperm MACs มีลักษณะคล้ายแม่เหล็กที่จะดูดอสุจิที่ไม่ดีติดไว้ที่เครื่อง ส่วนอสุจิที่ผ่านลงไปได้นั้น จะเป็นอสุจิที่ดี มีการแตกหักของ DNA ที่หัวของอสุจิน้อย หลังจากนั้น นักวิทย์จะเลือกอสุจิด้วยตาอีกครั้ง ว่าตัวอสุจินี้มีรูปร่างปกติหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้ได้อสุจิที่คุณภาพดีขึ้น

แล้วเราจำเป็นต้องตรวจ DNA Fragmentation (SDF) ในทุกรายหรือไม่ ?

เนื่องจากการตรวจ SDF เป็นการตรวจที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น เราสามารถดูคุณภาพของอสุจิจากการตรวจเบื้องต้นทั่วไปก่อน ถ้าจำนวนอสุจิเยอะ %ตัววิ่งดี รูปร่างปกติเยอะ อาจไม่จำเป็นต้องตรวจ SDF  

แต่หาก %รูปร่างของอสุจิปกติต่ำมาก หรือตัววิ่งน้อยมากๆ มักจะสัมพันธ์กับการแตกหักของ DNA ที่หัวอสุจิเยอะ การตรวจ SDF จะช่วยประเมินคุณภาพอสุจิได้ดีขึ้น เพื่อพิจารณาใช้ Sperm MACs เพื่อช่วยให้ได้ตัวอ่อนที่คุณภาพดีขึ้น หรือในกรณีที่คนไข้เคยทำเด็กหลอดแก้วมาแล้ว และฝ่ายหญิงอายุน้อยไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ได้ตัวอ่อนที่คุณภาพไม่ดี เป็นเกรด 2 หรือ 3 มีเศษเซลล์เยอะ หรือพัฒนาไปจนถึงระยะบลาสโตซิสต์น้อย ตรวจโครโมโซมแล้วผิดปกติเยอะ การใช้ Sperm MACs อาจจะช่วยปิดปัญหาของฝ่ายชายได้


5. ตู้เลี้ยงตัวอ่อนอัตโนมัติ (EmbryoScope) ที่มีอยู่ในศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากหลายที่ ควรจะต้องใช้หรือไม่ จำเป็นมากน้อยขนาดไหน? 29:41

โดยปกติแล้ว หลังผสมไข่และอสุจิ ตัวอ่อน จะถูกนำไปเลี้ยงในตู้เลี้ยงตัวอ่อน และนำออกมาตรวจดูการเจริญเติบโต (การแบ่งเซลล์) ในวันที่ 1 3 5 และ 6  ของตัวอ่อน ถ้าตัวอ่อนถูกเอาออกมานอกตู้เลี้ยงบ่อยๆ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น แสง อากาศ ความเข้มข้นของออกซิเจนหรือไนโตรเจน อุณหภูมิ ความกดอากาศ อาจจะมีผลกระทบต่อคุณภาพตัวอ่อน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาตู้เลี้ยงตัวอ่อนอัตโนมัติ หรือ EmbryoScope เพื่อลดการรบกวนตัวอ่อนจากการที่ต้องเอาตัวอ่อนออกจากตู้เลี้ยงให้น้อยที่สุด โดยหลังจากทำ ICSI เสร็จ จะใส่ตัวอ่อนเข้าไปใน EmbryoScope แล้วเลี้ยงต่อไป 5-6 วัน แล้วค่อยนำออกมาใส่กลับเข้ามดลูก หรือแช่แข็งไว้

EmbryoScope จะมีกล้องวิดีโอเหมือน CCTV สามารถถ่ายภาพตัวอ่อนไว้ทุกๆ หลักวินาทีและทำออกมาเป็นวิดีโอ ทำให้สามารถดูการพัฒนาของตัวอ่อนได้ ว่าการแบ่งเซลล์เป็นไปตามปกติหรือไม่ เพื่อเอามาช่วยในการพิจารณาเลือกตัวอ่อนที่พัฒนาการปกติ ใส่กลับเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป หรือในกรณีที่มีตัวอ่อนโครโมโซมปกติหลายตัว การดูการแบ่งตัวจาก embryoscope จะช่วยให้เลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดได้


6. ควรต้องตรวจโครโมโซมตัวอ่อนไหม? 35:53

เราจำเป็นต้องตรวจโครโมโซมตัวอ่อนไหม แล้วควรจะตรวจเมื่อไหร่ คุณหมอ ให้ข้อเสนอแนะ ดังนี้ จากข้อมูลของผู้หญิงอายุประมาณ 35 ปี เปอร์เซ็นต์ของตัวอ่อนที่ปกติ จะอยู่ที่ประมาณ 50-60% หมายถึง หากมีตัวอ่อนที่ตรวจโครโมโซมทั้งหมด 10 ตัวอ่อน จะมีตัวอ่อนที่โครโมโซมปกติ ประมาณ 5-6 ตัว และถ้าอายุฝ่ายหญิงมากกว่านั้น หรือฝ่ายชายมีคุณภาพอสุจิที่ไม่ดีด้วย % ตัวอ่อนที่โครโมโซมปกติจะยิ่งลดลงไปอีก

ซึ่งจะเห็นได้ชัดมาก เมื่ออายุเกิน 40 ปี อาจจะมีตัวอ่อนปกติแค่ 20% เท่านั้น ดังนั้น การตรวจโครโมโซมจึงช่วยให้เราเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุด ใส่กลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์และ ลดระยะเวลาที่ต้องใส่ตัวอ่อนหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะเจอตัวอ่อนที่ปกติ

การตรวจโครโมโซมจึงเป็นวิธีเจ็บแต่จบ ในกรณีที่คนไข้อายุเยอะ แม้ว่าตรวจโครโมโซมแล้ว อาจจะไม่มีตัวอ่อนให้ใส่ เพราะมีโอกาสที่จะผิดปกติทั้งหมด คนไข้ก็ไม่ต้องเสี่ยง เพราะถ้าไม่ได้ตรวจแล้วใส่ตัวอ่อนแล้วตั้งครรภ์ แต่เป็นเด็กดาวน์ซินโดรม ก็จะเสียเวลาไปอีกหลายเดือน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อจิตใจ กว่าจะเริ่มต้นใหม่ได้ก็เสียเวลาเป็นปี ถึงตอนนั้นอาจจะไม่เหลือไข่ให้กระตุ้นแล้วก็ได้ ดังนั้นการตรวจโครโมโซมเป็นวิธีที่ช่วยเลือกตัวอ่อนที่ดีใส่กลับมดลูก เพื่อย่นระยะเวลาในการท้องให้สั้นที่สุด และลดโอกาสการแท้ง


7. การตรวจโครโมโซม จะทำให้คุณภาพของตัวอ่อนแย่ลงหรือไม่? 39:37

ปัจจุบัน การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนจะทำในตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ (ระยะ Day 5 หรือ Day 6) ที่ฟักออกจากเปลือก โดยจะเลือกเฉพาะส่วนที่เป็นเซลล์ของเนื้อรก ดูดออกไปประมาณ 5-7 เซลล์ และจะใช้เลเซอร์ช่วยตัด ส่วนเซลล์ของตัวอ่อนส่วนที่จะเจริญเติบโตไปเป็นส่วนของตัวเด็กในอนาคต จะไม่ถูกรบกวน ตัวอ่อนที่จะตรวจโครโมโซมได้ จะต้องเป็นตัวอ่อนที่คุณภาพดี แม้หลังดูดเซลล์ไปตรวจโครโมโซม ผ่านการแช่แข็งและละลายแล้ว ก็ยังมีคุณภาพดี มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ดี ถึงจะถูกเลือกไปตรวจโครโมโซม

ความชำนาญของนักวิทยาศาสตร์ เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ถ้านักวิทย์ฯ ที่ตรวจมีความชำนาญ ก็แทบจะไม่มีผลเสียต่อคุณภาพของตัวอ่อนเลย

นอกจากนั้นเซลล์ที่เป็นส่วนเนื้อรก ที่จะถูกดูดออกไปตรวจ มีจำนวนมากเป็นหลักร้อยเซลล์ จะถูกดึงไปตรวจประมาณ 5-7 เซลล์ จึงแทบไม่ได้ผลอะไรต่อตัวอ่อน ดังนั้นถ้านักวิทย์มีความเชี่ยวชาญการทำ Biopsy หรือการตรวจโครโมโซม ร่วมกับตัวอ่อนที่คุณภาพดี ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่า การตรวจโครโมโซม จะทำให้คุณภาพของตัวอ่อนลดลง


8. ถ้ามีตัวอ่อนที่ดีหลายๆ ตัว จะเลือกตัวอ่อนตัวไหนใส่ก่อนดี? 42:15

เลือกตัวที่สวยที่สุด หรือถ้าในกรณีที่ตรวจโครโมโซม ก็ให้เลือกตัวที่โครโมโซมปกติก่อน ถ้ามีตัวที่โครโมโซมปกติหลายตัวก็จะเลือกจากเกรด

การ Grading คุณภาพของตัวอ่อน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักการแบบไหน แต่ที่ Superior A.R.T. นักวิทย์ของเราจะใช้ตัวอักษรแบ่งเป็น 3 เกรด คือ

A – มีจำนวนเซลล์มาก เห็นเซลล์ชัดเจน เกาะกลุ่มแน่น
B – เซลล์อยู่ในระดับที่ดี เยอะประมาณหนึ่ง
C – มีจำนวนเซลล์น้อย เรียงตัวกันไม่สม่ำเสมอ

ถ้าตัวอ่อนดีมากๆ จะเป็นเกรด AA, AB หรือถ้ากลางๆ ถึงดี จะเป็นเกรด BB ถัดลงมา คือเกรด BC ซึ่งเวลาเลือกตัวอ่อนมาตรวจโครโมโซม จะต้องมีเซลล์ในส่วนที่จะกลายเป็นตัวเด็ก (Inner cell mass) เห็นชัดเจน ถ้าส่วนของตัวเด็กเป็นเกรด C ไม่ควรนำมาตรวจโครโมโซม เพราะถ้าใส่ตัวอ่อนนั้นแล้วท้อง จะมีความเสี่ยงสูงที่ท้อง แต่ไม่มีตัวเด็ก หรือท้องลม (Blighted ovum) ได้


สรุปก็คือจะเลือกตัวอ่อนจาก..

  1. โครโมโซม
  2. Grading ทั้งส่วนของเซลล์ที่เป็นตัวเด็ก และส่วนเนื้อรก
  3. ตัวอ่อนระยะ Day 5 หรือถ้าไม่มีถึงจะเลือกตัวอ่อน Day 6
  4. เลือกระยะ Hatching Blastocyst ดีกว่า Fully Hatched Blastocyst

โดยระยะ Hatching Blastocyst ยังมีเปลือกไว้ปกป้องตัวเอง ในขั้นตอนการแช่แข็งตัวอ่อน  จะมีผลทำให้น้ำออกจากเซลล์ ตัวอ่อนก็จะแฟบลงและหดกลับเข้าไปในเปลือก เมื่อละลาย น้ำจะกลับเข้าไปในเซลล์ ตัวอ่อนจะฟูขึ้น ถ้ายังมีเปลือกที่เป็นเหมือนเกราะกำบัง น้ำยาแช่แข็งหรือละลาย จะไม่โดนเซลล์ของตัวอ่อนโดยตรง ดังนั้น %ของเซลล์ตัวอ่อนที่กลับมาดี (Survival rate) หลังจากที่ละลายของตัวอ่อนระยะ Hatching Blastocyst ส่วนใหญ่จะดีกว่าระยะ Fully Hatched Blastocyst

ส่วน Fully Hatched Blastocyst แม้ว่าจะโตเร็วแต่ออกมาจากเปลือกแล้ว บางครั้งก็มีบ้างที่หลังละลายแล้วคุณภาพไม่ดีเหมือนก่อนละลาย นอกจากนี้ คุณภาพของตัวอ่อนก่อนแช่แข็ง ก็สามารถบ่งบอก คุณภาพตัวอ่อนหลังละลายได้ดีพอสมควร ถ้าตัวอ่อนก่อนแช่แข็ง ไม่ค่อยสวย โดยเฉพาะถ้าเป็นตัวอ่อนวันที่ 6 และเป็น ระยะที่ฟักออกจากเปลีอกหมดแล้ว full-hatched blastocyst ก็มีความเสี่ยงที่หลังละลายแล้ว คุณภาพอาจจะลดลง ไม่สวยเหมือนก่อนแช่แข็งได้ ทำให้โอกาสท้องลดลง


ครบแล้วกับ 8 คำถามยอดฮิต 👩🏻‍⚕️💬หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถฝากไว้ได้ทุกช่องทางของ Superior A.R.T.

LIVE หมอนิ พญ. นิศารัตน์ สุนทราภา

พญ. นิศารัตน์ สุนทราภา
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก

ข่าวสารและบทความอื่นๆ

🔬นักวิทย์ 💬 อยากเล่า : Embryologist Day 25 July

25 กรกฎาคมของทุกปี คือ วัน Embryologist ในโอกาสนี้ เราขอพาไปชมเบื้องหลังการทำงานของทีม Embryologist ในห้องปฏิบัติการเลี้ยงตัวอ่อน

ถามหมอ 💬 กับหมอจิว : รังไข่เสื่อมก่อนวัย! จะมีลูกได้ไหม

รังไข่เสื่อมก่อนวัย เกิดขึ้นได้จริงหรือ? เกิดจากอะไร? แล้วแบบนี้จะยังมีลูกได้หรือไม่? คุณหมอจิวจะมาตอบข้อสงสัยนี้

🔬นักวิทย์ 💬 อยากเล่า : กลุ่มไหนบ้างที่มาคัดกรองลูกปลอดโรคที่ Superior A.R.T.

ดร.เก๋ เกษร จะมาเล่าให้ฟังว่า 3 กลุ่มที่เข้ามาปรีกษา เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรที่แข็งแรง ปลอดจากโรคทางพันธุกรรมมีใครกันบ้าง