ข่าวสารและบทความ

𝐒𝐮𝐩𝐞𝐫𝐢𝐨𝐫 𝐀.𝐑.𝐓. 𝐋𝐈𝐕𝐄 : 🅔🅟.51 ❝ บอกเล่าประสบการณ์ 6 เคส สุดโหด กว่าจะสำเร็จ ❞


บอกเล่าประสบการณ์ 6 เคส สุดโหด กว่าจะสำเร็จ” 


บอกเล่าประสบการณ์ 6 เคส สุดโหด กว่าจะสำเร็จ โดยคุณหมอนิ หรือแพทย์หญิงนิศารัตน์ สุนทราภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก คลินิก Superior A.R.T. ตั้งแต่คนไข้ที่อายุมาก คนไข้ฝ่ายหญิงที่มีไข่น้อยมาก ฝ่ายชายที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพสเปิร์ม หรือมีปัญหาทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ซึ่งหากใครมีปัญหาที่คล้ายๆ กัน อาจจะนำไปปรับใช้ในการรักษาของเคสตัวเองได้  


ก่อนอื่น ควรประเมินก่อนว่าคนไข้มีปัญหาอะไรบ้าง เริ่มต้นจากการตรวจดู จำนวนของไข่ ได้แก่ 

  • การตรวจเลือดฮอร์โมน AMH เพื่อวัดปริมาณไข่ในรังไข่ที่ยังเหลืออยู่ในร่างกายในช่วงอายุปีนี้ มีเยอะมากน้อยขนาดไหน ซึ่งจะสัมพันธ์กับจำนวนไข่ที่สามารถเก็บได้สำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยบอกว่าควรจะต้องรีบมากแค่ไหน จะเลือกการรักษาวิธีไหนดี เช่น IUI ทำเด็กหลอดแก้ว หรือยังมีเวลาลองแบบธรรมชาติ
  • การทำอัลตราซาวด์เพื่อวัดจำนวนไข่ เป็นวิธีที่บอกว่าในรอบเดือนนั้นมีไข่เยอะมากน้อยแค่ไหน ซึ่งวันที่ดีที่สุดในการตรวจ คือวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบประจำเดือน โดยคุณหมอจะทำอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด และวัดจำนวนฟองไข่ที่เห็นในรังไข่ จะบอกถึงจำนวนไข่ที่จะกระตุ้นได้ในรอบเดือนนั้น หากทำเด็กหลอดแก้ว
  • การตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด โดยตรวจประมาณวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบประจำเดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะดูฮอร์โมน 3 ตัว คือ FSH, LH และ Estradiol โดย FSH สัมพันธ์กับจำนวนไข่ และความตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่ ระดับ FSH ยิ่งสูง แปลว่า รอบเดือนนั้น ไข่อาจจะจำนวนน้อย ตอบสนองต่อยาไม่ดี

ในส่วนของ คุณภาพไข่ ไม่มีการตรวจใดที่สามารถบอกได้ว่า คุณภาพของไข่ดีหรือไม่ดี จนกว่าจะเก็บไข่ออกมาดูหน้าตาของไข่ เช่น เปลือกไข่รูปร่างปกติไหม ขอบของเซลล์ไข่กับเปลือกไข่ห่างกันขนาดไหน ความเนียนของเนื้อไข่เป็นอย่างไร เวลายิง ICSI เข้าไปแล้ว เนื้อไข่นิ่มเกินไป แตก หรือเหนียวไหม ก็ช่วยบอกเรื่องคุณภาพของไข่ได้ 

แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีปัจจัยบางอย่างที่ช่วยบอกได้ว่า อาจจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพไข่ เช่น  

  • อายุ หากฝ่ายหญิงอายุค่อนข้างเยอะ ก็มีผลต่อคุณภาพของไข่ และโครโมโซมของไข่
  • มีประวัติเคยตั้งครรภ์และมีลูกแล้ว อาจจะพอบอกได้ว่า คุณภาพของไข่น่าจะดีในระดับหนึ่ง ถ้าไม่ได้วางแผนมีลูกห่างจากท้องที่แล้วหลายปีเกินไป
  • มีประวัติเคยแท้งมาแล้วหลายครั้ง อาจสงสัยได้ว่า โครโมโซมของไข่อาจจะมีความผิดปกติแฝงอยู่

สำหรับฝ่ายชาย วิธีการประเมินค่อนข้างง่าย คือเก็บอสุจิ หรือ สเปิร์ม เพื่อตรวจดูปริมาณของสเปิร์ม โดยจะดูทั้งจำนวน เปอร์เซ็นต์ของตัววิ่ง และรูปร่างของสเปิร์มที่ปกติ ซึ่งจะสามารถบอกได้ทั้งจำนวน และคุณภาพของสเปิร์มได้ระดับหนึ่ง  

ในปัจจุบัน มีการตรวจที่ละเอียดมากขึ้น คือ ตรวจสเปิร์ม DNA Fragmentation เพื่อดูว่ามีการแตกหักของ DNA ที่หัวของสเปิร์มหรือไม่ ทำให้สามารถบอกคุณภาพของสเปิร์มได้ดีมากขึ้น และช่วยทำนายได้ว่า เมื่อผสมตัวอ่อนทำเด็กหลอดแก้วแล้ว คุณภาพของตัวอ่อนจะดีแค่ไหน เปอร์เซ็นต์ความผิดปกติของโครโมโซมของตัวอ่อนจะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของสเปิร์ม DNA Fragmentation ด้วย 


🌟 มาถึงประสบการณ์การรักษาผู้มีบุตรยาก 6 เคสสุดโหดของคุณหมอ  


คนไข้ฝ่ายหญิงอายุ 37 ปี แต่มีไข่น้อยมาก วัดค่าฮอร์โมน AMH ได้เพียง 0.008 ซึ่งถือว่าน้อยมากจนแทบตรวจหาไม่เจอ ส่วนฝ่ายชายอายุ 60 ปี มีประวัติมีบุตรและทำหมันแล้ว จึงต้องผ่าตัดเก็บสเปิร์มจากลูกอัณฑะโดยตรง (TESE) โดยใช้หลอดดูดหรืออาจจะเปิดแผลเล็กๆ เพราะเมื่อทำหมันแล้ว จะไม่มีสเปิร์มจากการหลั่งเองโดยธรรมชาติ 

อายุของฝ่ายชายมีผลต่อคุณภาพสเปิร์มหรือไม่? 

ถ้าอายุไม่ได้สูงมาก ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีผล โดยจะตัดช่วงอายุ ประมาณ 55 ปี หากอายุมากอาจส่งผลต่อคุณภาพสเปิร์มได้ และหากฝ่ายชายมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันที่ควบคุมได้ไม่ดี หรือมีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด คุณภาพของสเปิร์มอาจจะแย่ลงก่อนอายุ 55 ปี 

เมื่อฝ่ายหญิงเข้ามากระตุ้นไข่ ในวันที่ 2 ของรอบเดือน ตรวจอัลตราซาวน์ เห็นไข่ประมาณ 1-2 ใบ ค่าฮอร์โมน FSH ได้ 27 ซึ่งปกติแล้วค่า FSH ที่ดี ไม่ควรเกิน 10  

หลังจากนั้น คุณหมอได้มีการพูดคุยเพื่อวางแผนการรักษากับคนไข้ บอกถึงโอกาส และคนไข้ไม่ต้องการเสียเวลา ขอลองกระตุ้นเลย แม้ว่ารอบนี้ดูไม่ค่อยดี ใช้เวลากระตุ้นไข่ 11 วัน ปรับยาฉีดตามค่าฮอร์โมน และใช้ฮอร์โมนแอนโดรเจลช่วยดันให้ไข่โต หลังจากที่กระตุ้นไข่ไปเรื่อยๆ คนไข้เริ่มมีไข่ที่โตตามมาภายหลัง ซึ่งก่อนที่จะเก็บไข่ คุณหมอเห็นไข่ประมาณ 4 ใบ แต่เมื่อถึงเวลาเก็บไข่ กลับเก็บได้เพียง 1 ใบ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ในคนไข้ที่ AMH ต่ำมากๆ เพราะการทำอัลตราซาวด์ คือการวัดฟองไข่ (follicle) แต่จะไม่สามารถรู้ได้ว่าด้านในฟองไข่นั้น มีไข่ (oocyte) อยู่ไหม เราจะรู้ว่าในฟองไข่มีไข่หรือไม่ ก็ต่อเมื่อเราเจาะเข้าไปแล้วเก็บไข่ออกมา ดังนั้นจึงมีโอกาสเจอคนไข้ที่เห็นไข่อยู่ประมาณหนึ่ง แต่เก็บไข่ได้น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในคนไข้ที่ AMH ต่ำ หรืออายุมาก 

อย่างไรก็ตาม ไข่ 1 ใบของคนไข้ สามารถผสมได้ตัวอ่อนและพัฒนาไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ได้ และตรวจโครโมโซมตัวอ่อนด้วย เพราะฝ่ายหญิงอายุเกิน 35 บวกกับสเปิร์มที่มาจากลูกอัณฑะโดยตรงมีโอกาสเป็นสเปิร์มที่ผิดปกติมากขึ้น ผลตรวจพบว่าตัวอ่อนมีความผิดปกติ มีโครโมโซมคู่ที่ 14 หายไป 1 แท่ง  

คุณหมอได้คุยกับคนไข้ถึงแนวโน้มผลลัพธ์ของการรักษา ซึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยดี เพราะมีปัญหาทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่คนไข้กำลังใจดีมาก พร้อมสู้ต่อ เมื่อกระตุ้นไข่รอบที่ 3 คุณหมอจึงลองปรับยาให้เหมาะสมตามฮอร์โมน และใช้ยาเตรียมไข่ก่อนประจำเดือนมา ช่วยให้ไข่ขนาดใกล้เคียงกัน จนสามารถเก็บไข่ได้ 3 ใบ ผสมตัวอ่อนได้ 2 ตัว และไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ได้ 1 ตัว และโชคดีก็มาถึง เพราะเมื่อตรวจโครโมโซมแล้ว ได้ตัวอ่อนที่ปกติ ก่อนใส่ตัวอ่อน มีการเตรียมตัวอย่างดี ไม่ว่าจะดูความหนา การเรียงตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก และตรวจภูมิคุ้มกัน  สุดท้ายคนไข้ก็ตั้งครรภ์สำเร็จ จนคลอดออกมาเป็นหนูน้อยน่ารัก 

จากเคสนี้ สรุปว่าแม้ฝ่ายหญิงจะมีไข่น้อยมาก แต่อายุยังไม่ได้เยอะมาก หากไข่ที่กระตุ้นในรอบนั้นๆ มีไข่ที่ดี ก็มีโอกาสที่จะได้ตัวอ่อน โดยอาจจะต้องปรับยาเพื่อจะให้ได้จำนวนไข่ที่ดีขึ้น ซึ่งคุณหมอคิดว่ายาอาจจะมีผลอยู่บ้าง เพราะยาบางชนิดอาจจะทำให้ไข่โตได้ดีขึ้น เมื่อไข่โตดีก็มีโอกาสที่จะได้ไข่ที่ใช้ได้เยอะขึ้น แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของไข่ก็ยังมาจากตัวคนไข้เองเป็นหลัก  


เป็นเคสที่มีปัญหาทั้งไข่และสเปิร์ม และต้องตรวจโรคทางพันธุกรรมร่วมด้วย  

ในเคสนี้ ฝ่ายหญิงอายุ 40 ปี ค่า AMH อยู่ที่ 0.2 ส่วนฝ่ายชายอายุ 44 ปี สเปิร์มมีปัญหาทั้งเรื่องจำนวนน้อย รูปร่างผิดปกติเยอะ และตัววิ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาก  

ในปี 2564 ฝ่ายหญิงเคยทำเด็กหลอดแก้วที่อื่น ขณะนั้นคนไข้อายุประมาณ 38 ปี แต่กระตุ้นแล้วไม่มีไข่โต จึงต้องยกเลิกไป ส่วนครั้งที่ 2 เก็บไข่ได้ 2 ใบ ได้ตัวอ่อน 1 ตัว และใส่ตัวอ่อนรอบสด โดยที่ไม่ได้ตรวจโครโมโซม จนตั้งครรภ์และคลอด พบว่าลูกมีปัญหาเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งตรวจพบเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นพาหะโดยที่ไม่รู้มาก่อน หลังจากนั้นไม่นาน ลูกก็เสียชีวิต  

ทั้งคู่จึงเข้ามาปรึกษาคุณหมอที่ Superior A.R.T. เพื่อเริ่มต้นทำเด็กหลอดแก้วรอบใหม่ และตรวจยีนส์ของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในตัวอ่อนด้วย เนื่องจากในทุกการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนมีโอกาสเป็นโรคได้ 50%

ความยากไม่ได้มีแค่นั้น… ฝ่ายหญิงยังพบปัญหามีช็อกโกแลตซีสต์ (ถุงน้ำรังไข่) ประมาณ 3 เซนติเมตรอีก เริ่มต้น เห็นไข่อยู่ 2 ใบ คุณหมอเลยใช้สูตรการกระตุ้นไข่ที่เรียกว่า Mild Stimulation คือเริ่มจากการกินยากระตุ้นให้ไข่โตมาก่อนประมาณ 5 วัน หลังจากนั้นจะอัลตราซาวด์ดูว่ามีการตอบสนองหรือไม่ หากไข่ตอบสนองก็จะฉีดยาต่อ โดยสูตรนี้จะใช้ในคนไข้ที่มีไข่น้อย ซึ่งไม่ว่าจะฉีดยาแค่ไหนก็มีไข่อยู่เพียงเท่านี้ กินยาก็มีไข่เท่าเดิม โดยข้อดีของการใช้ Mild Stimulation คือทำให้คนไข้เจ็บตัวน้อยลง เพราะฉีดยาน้อยลง และประหยัดเงิน ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกับการใช้ยาเต็มที่ ในรอบนี้ เก็บไข่ได้ 4 ใบ เป็นไข่สุก 2 ใบ และได้ตัวอ่อน 2 ตัว โดยตัวอ่อนทั้ง 2 ตัว พัฒนาไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ทั้งคู่ แต่เมื่อตรวจโครโมโซม 23 คู่ ปรากฏว่าได้ตัวอ่อนโครโมโซมปกติ 1 ตัว และโครโมโซมผิดปกติ 1 ตัว แต่ทั้ง 2 ตัวเป็นโรค จึงไม่สามารถใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกได้ 

หลังจากนั้น คนไข้ได้กลับไปเตรียมตัวอีกครั้ง กินยาบำรุงหรือวิตามินต่างๆ และออกกำลังกาย โดยในรอบนี้เห็นไข่อยู่เริ่มต้นข้างละประมาณ 2 ใบ ซึ่งได้ใช้สูตรกระตุ้นคล้ายกับครั้งก่อน โชคดีที่คนไข้ตอบสนองต่อการกระตุ้นดี จากไข่ที่เห็นข้างละ 2 ใบ หลังกระตุ้นด้วยยากินและยาฉีดแล้ว จำนวนไข่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนเก็บไข่ได้ 10 ใบ เป็นไข่สุก 7 ใบ ผสมได้ตัวอ่อน 6 ตัว และพัฒนาไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ 4 ตัว ได้ตรวจโครโมโซมและตรวจยีน 4 ตัว และเป็นตัวอ่อนที่สามารถใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกได้ 3 ตัว หลังจากนั้น ก็เตรียมใส่ตัวอ่อน ตรวจภูมิคุ้มกันและอื่นๆ ก่อนย้าย จนตอนนี้ คุณแม่คลอดน้องที่สมบูรณ์แข็งแรงได้หลายปีแล้ว  

สำหรับเคสนี้ ในฝ่ายชาย คุณหมอได้ใช้ Sperm MACS ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอสุจิของฝ่ายชาย เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพตัวอ่อนให้ดี และให้ฝ่ายชายเตรียมตัว เช่น ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก นอนให้เพียงพอ และกินวิตามิน ก่อนเริ่มการรักษา  

ส่วนฝ่ายหญิง คุณหมอเลือกใช้การกระตุ้นแบบใจเย็น เพราะเคยถูกกระตุ้นแบบหนักมาแล้วแต่ไม่ได้ผล จึงต้องปรับไปใช้สูตรที่ได้ผลใกล้เคียงกัน และสบายกับคนไข้มากกว่า บางครั้งในคนไข้ที่เคยมีประวัติแบบนี้ อาจจะไม่สามารถจบได้ด้วยการกระตุ้นไข่เพียงรอบเดียว ซึ่งถ้าคนไข้เข้าใจไปพร้อมกับคุณหมอว่าจะต้องสู้ไปด้วยกัน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะประสบความสำเร็จหากเป็นรอบไข่ที่ดี ซึ่งเวลาเลือกรอบที่กระตุ้นไข่ควรเลือกรอบที่ไข่เยอะ ฮอร์โมนดี หากเริ่มต้นดี โอกาสที่จะได้ไข่เยอะขึ้นก็จะมีมากขึ้น 


ฝ่ายหญิงอายุ 45 ปี แต่งงานมาประมาณ 2 ปี ไม่เคยมีลูกมาก่อน มีค่า AMH อยู่ที่ 1 ส่วนฝ่ายชายอายุ 49 ปี อสุจิปกติไม่มีปัญหาใดๆ  

ในเคสนี้คุณหมอให้คนไข้เตรียมตัวโดยการกินวิตามินรวม Q10 วิตามินซี วิตามินอี กระตุ้นรอบแรกเก็บไข่ได้ 6 ใบ ผสมตัวอ่อนตรวจโครโมโซมได้ 2 ตัว แต่ผิดปกติทั้งหมด ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงสำหรับคุณแม่ที่อายุ 45 ปี  

หลังจากนั้น คนไข้ก็กลับไปเตรียมตัวอีกครั้ง ในรอบที่ 2 เห็นไข่เริ่มต้นข้างหนึ่ง 5 ใบ อีกข้างหนึ่ง 2 ใบ ซึ่งฝ่ายหญิงมีค่า AMH ค่อนข้างดี จำนวนไข่เริ่มต้นจึงมีเยอะ หลังจากกระตุ้น คุณหมอมีการปรับยา ผสมยาตามการตอบสนองต่อฮอร์โมนของคนไข้ สุดท้ายเก็บไข่ได้ 5 ใบ ผสมได้ตัวอ่อนวันแรก 5 ตัว และไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ 4 ตัว และได้ตรวจโครโมโซมทั้ง 4 ตัว จาก 5 ตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีมาก ผลออกมาคือจาก 4 ตัวนั้น ได้ตัวอ่อนปกติ 1 ตัว หลังจากใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูกก็ไม่มีปัญหาใดๆ  

สำหรับเคสนี้ เป็นตัวอย่างของคนไข้ที่อายุค่อนข้างเยอะ แต่โชคดีที่มีไข่เหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ เมื่อไข่เยอะก็มีโอกาสที่จะได้ไข่ที่ปกติมากขึ้น ซึ่งการเก็บไข่รอบแรกที่ไม่ได้ตัวอ่อนที่ปกติ ไม่ได้หมายความว่ารอบสองจะผิดปกติไปทั้งหมด เพียงแต่มีแนวโน้มว่าอาจจะผิดปกติมากกว่า หากคิดว่าพร้อมที่จะมีลูก รอบไหนที่เจอไข่ที่ดี ก็มีโอกาสสูง 


เคสนี้เป็นคนไข้ต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ฝ่ายหญิงอายุ 36 ปี มีค่า AMH อยู่ที่ 1.8 ซึ่งถือว่ายังดีอยู่ ฝ่ายชายอายุ 40 ปี เป็นโรค CBAVD หรือท่อนำอสุจิอุดตันทั้ง 2 ข้าง ในกรณีแบบนี้จะต้องผ่าตัดเอาสเปิร์มมาจากลูกอัณฑะโดยตรง โดยการทำ PESA/TESE 

คนไข้เคยทำ ICSI จากที่อื่น 3 ครั้ง ไม่เคยตรวจโครโมโซมตัวอ่อน ครั้งแรกได้ตัวอ่อน 1 ตัว ย้ายตัวอ่อน 1 ครั้ง แต่ไม่ตั้งครรภ์ ส่วนครั้งที่ 2 ได้ย้ายตัวอ่อน 2 ครั้ง แต่ไม่ตั้งครรภ์ ครั้งสุดท้าย กลับไปทำที่ประเทศบ้านเกิด แต่ก็ยังไม่ได้ตรวจโครโมโซม ซึ่งก็ตั้งครรภ์ แต่เป็น Chemical Pregnancy คือตรวจเลือดฮอร์โมน Beta-hCG ขึ้น แต่สักพักก็ลดลง 

เมื่อมาตรวจที่ Superior A.R.T. คุณหมอให้เริ่มจากการทำ PESA/TESE จนได้สเปิร์ม แล้วจึงให้ฝ่ายหญิงกลับไปบำรุงร่างกาย แล้วเริ่มกระตุ้นไข่ เมื่อเก็บไข่และผสมเป็นตัวอ่อน ก็ตรวจโครโมโซมตัวอ่อนที่คุณภาพดีด้วย เพราะฝ่ายหญิงอายุเกิน 35 ปี บวกกับสเปิร์มที่ได้มาจากการทำ PESA/TESE ก็มีโอกาสที่จะเป็นสเปิร์มที่ผิดปกติมากกว่าสเปิร์มที่หลั่งเองตามธรรมชาติ อีกทั้งเคยย้ายตัวอ่อนมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ 

สุดท้ายเก็บไข่ได้ 24 ใบ มีตัวอ่อนที่สามารถตรวจโครโมโซมได้ 10 ตัว โดยเป็นตัวที่ปกติ 5 ตัว ซึ่งในกรณีที่คนไข้ที่มีตัวอ่อนที่เยอะมากๆ นอกเหนือจากการดูรูปร่างของตัวอ่อนที่ดีแล้ว ควรตรวจโครโมโซมเพื่อเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดมาใส่ ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาการใส่ตัวอ่อนหลายครั้งจนกว่าจะตั้งครรภ์ 

นอกจากนี้คุณหมอก็ประเมินจากปัจจัยฝ่ายหญิงร่วมด้วย โดยการส่องกล้องในโพรงมดลูกและพบว่ามีการอักเสบ จึงให้ยาฆ่าเชื้อ และตรวจภูมิคุ้มกันก่อนที่จะใส่ตัวอ่อน ซึ่งอาจจะเจอได้ในคนไข้ที่มีประวัติใส่ตัวอ่อนมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ โดยคนไข้ก็ตั้งครรภ์ได้สำเร็จ และฝากครรภ์เรียบร้อยแล้ว 

สำหรับเคสนี้ การตรวจโครโมโซมมีประโยชน์มาก ช่วยทำให้เราสามารถเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในคนไข้ที่เคยใส่ตัวอ่อนมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ บวกกันที่ใช้สเปิร์มที่มาจากการทำ PESA/TESE อีกด้วย 


เคสนี้ มีปัญหาหลักอยู่ที่ ฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน ส่งผลให้ไม่มีตัวอสุจิเลย  

การสร้างอสุจิ สมองจะเป็นตัวสั่งการสร้างฮอร์โมนมาสั่งลูกอัณฑะให้ผลิตอสุจิ แต่ในเคสนี้ฝ่ายชายมีปัญหา เพราะสมองไม่สามารถสร้างฮอร์โมนมากระตุ้นลูกอัณฑะ ทำให้ไม่มีอสุจิ 

ส่วนฝ่ายหญิงอายุ 32 ปี มีปัญหาแค่เรื่อง PCOS ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหามาก คนไข้เคยทำเด็กหลอดแก้วในต่างประเทศมาแล้ว 2 รอบ โดยใช้สเปิร์มจากการผ่าตัดจากลูกอัณฑะ (TESE) ซึ่งสเปิร์มที่ได้ก็คุณภาพไม่ดี และหลังจากใส่ตัวอ่อนไป 3 รอบ ไม่มีรอบไหนที่ตั้งครรภ์เลย สุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจทำการฉีดเชื้อโดยใช้สเปิร์มบริจาค จึงมีลูกคนแรกจากการใช้สเปิร์มบริจาค 

หลังจากนั้น ญาติของพวกเขาที่เคยมารักษาที่ Superior A.R.T. ได้แนะนำให้มาที่นี่ โดยคุณหมอได้ประเมินปัญหา เมื่อตรวจแล้วไม่เจอสเปิร์ม สิ่งที่ทำต่อไปคือ ตรวจฮอร์โมนเพศชายว่ามีปัญหาอะไร มีปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้ด้วยยาหรือไม่ ซึ่งหลังจากเช็คแล้ว ฝ่ายชายสามารถฉีดยาที่ช่วยให้มีการสร้างสเปิร์มได้ ซึ่งก็คือยากระตุ้นไข่ที่ฉีดให้ฝ่ายหญิงเวลาทำเด็กหลอดแก้ว แต่นำมาฉีดให้ฝ่ายชายในปริมาณที่น้อยกว่า แต่ต้องใช้ระยะเวลาฉีดที่นานกว่า ซึ่งวิธีนี้จะต้องใจเย็นและจะต้องรอ เพราะวงจรการสร้างสเปิร์มของผู้ชายจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน ในคนไข้คนนี้ คุณหมอให้ฉีดยา 1 เดือน และมาเจาะเลือดเพื่อประเมินว่ายาพอหรือไม่ แล้วปรับยา และรอดูผลต่อไปเป็นระยะเวลาเกือบ 3 เดือน จึงมาตรวจซ้ำ ปรากฏว่าฝ่ายชายสามารถหลั่งสเปิร์มออกมาได้เองตามธรรมชาติ 

ส่วนฝ่ายหญิงจึงเริ่มกระตุ้นไข่ เก็บไข่เพื่อนำไปทำ ICSI ได้ตัวอ่อนที่ตรวจโครโมโซมได้ 8 ตัว ตรวจแล้วเป็นตัวอ่อนที่ปกติ 4 ตัว และใส่ตัวอ่อนจนตั้งครรภ์สำเร็จ 

สำหรับเคสนี้ บางครั้งการที่ไม่มีอสุจิเลย ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องหมดหวังซะทีเดียว อาจจะต้องหาก่อนว่าปัจจัยที่เป็นปัญหาคืออะไร แก้ได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี และจะได้อสุจิที่มีคุณภาพดีขึ้นด้วย  


ไข่คุณภาพไม่ดีในฝ่ายหญิงอายุ 32 ปี ไม่เคยมีลูกมาก่อน เคยท้อง 1 ครั้ง ซึ่งเป็นการท้องนอกมดลูก มีค่าฮอร์โมน AMH 1.99 ซึ่งหากไม่ได้ดูเรื่องอายุ ถือว่าค่าปกติ แต่หากเทียบกับอายุ ถือว่าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่

ส่วนฝ่ายชายอายุ 32 ปี มีโรคประจำตัวคือโรค OSA หรือโรคที่หยุดหายใจในขณะที่นอนหลับ ซึ่งปัญหาของโรคนี้ คือขณะที่นอนหลับแล้วหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ซึ่งสัมพันธ์กับโรคทางเมตาบอลิกหลายอย่าง เช่น อ้วน ไขมันสูง เบาหวาน และมีผลต่อเส้นเลือด สุดท้ายส่งผลต่อสเปิร์ม เพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงลูกอัณฑะเป็นเส้นเลือดขนาดเล็ก โดยโรคเบาหวาน โรคไขมัน เป็นโรคที่โจมตีเส้นเลือดเล็กๆ มักจะทำให้เส้นเลือดที่มีขนาดเล็กมากๆ อุดตัน หากเลือดไปเลี้ยงลูกอัณฑะไม่ดี ก็จะส่งผลต่อคุณภาพของสเปิร์มโดยรวม สำหรับคู่นี้ สเปิร์มของฝ่ายชายมีจำนวนน้อย ตัววิ่ง และรูปร่างของสเปิร์มที่ปกติต่ำกว่าเกณฑ์ 

เก็บไข่รอบแรก ฮอร์โมน FSH อยู่ที่ 7 อยู่ในเกณฑ์ปกติ  เริ่มต้นเห็นไข่ข้างละประมาณ 4-5 ใบ แต่ไข่ค่อนข้างเล็ก คุณหมอจึงให้ยาที่โดสค่อนข้างสูงโดยผสมกัน 2 ตัว จากไข่เริ่มต้นที่เห็นอยู่ประมาณ 10 ใบ เก็บไข่ที่กระตุ้นแล้วตอบสนองดีและโตตามเกณฑ์ ได้แค่ 6 ใบ โดยปกติหากคนไข้ตอบสนองต่อยาดี ควรจะมีไข่ที่โตตามเกณฑ์ประมาณ 70-80% หรือควรจะได้อย่างน้อย 7-8 ใบ ซึ่งในเคสนี้มีเพียง 6 ใบ ผสมตัวอ่อนได้ 5 ตัว แต่ไข่ไม่สวย คือเนื้อไข่ไม่ดี ขอบไข่หนา และมีช่องว่างระหว่างขอบไข่กับเซลล์ไข่เยอะ ทำให้รอบนั้นไม่ได้ตัวอ่อนถึงระยะบลาสโตซิสต์เลย 

คนไข้ทั้งคู่จึงกลับไปพักดูแลตัวเองอย่างดีประมาณ 3 เดือน หลังจากนั้นก็กลับมาดูว่าสามารถกระตุ้นไข่ได้หรือไม่ เพราะรอบแรกเห็นว่าไข่เล็กมาก เมื่อเริ่มฉีดยาจึงตอบสนองไม่ดี หากในรอบนี้ขนาดของไข่ไม่ใหญ่พอที่จะโตต่อได้ คุณหมอจะไม่เริ่มฉีดกระตุ้น พอประจำเดือนมา ก็มาตรวจอัลตราซาวด์ดูจำนวนและขนาด จนกว่าจะเจอรอบที่ดี คือจำนวนไข่เยอะ และขนาดไข่ใหญ่ใกล้เคียงกัน และแล้วก็เจอรอบที่ดี  มีไข่เริ่มต้นข้างหนึ่ง 5 ใบ ข้างหนึ่ง 6 ใบ ฮอร์โมนก็ดี และรอบนี้เก็บได้ไข่ทั้งหมด 12 ใบ มีตัวอ่อนที่ตรวจโครโมโซมได้ทั้งหมด 6 ตัว ไปถึงระยะบลาสโตซิสต์ที่คุณภาพดี 6 ตัว และตรวจโครโมโซมได้ด้วยตัวอ่อนปกติ 4 ตัว 

สำหรับเคสนี้ คนไข้ที่อายุยังน้อย ค่าฮอร์โมน AMH ไม่ได้ต่ำมาก ก็ไม่ได้การันตีว่ารอบที่กระตุ้นจะได้ไข่ดีตลอดไป บางทีการกินอะไรบางอย่าง เช่น ฮอร์โมนที่อาจจะส่งผลต่อการโตของไข่ หรือการดูแลตัวเองที่ไม่ดีพอ ทำงานหนัก นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อการตอบสนองและคุณภาพของไข่ได้เหมือนกัน ซึ่งหลังจากที่คนไข้ได้กลับไปดูแลตัวเอง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เห็นผลได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น การที่เราจะได้ไข่หรืออสุจิที่ดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวดูแลตัวเองของคนไข้ด้วยเหมือนกัน 

สุดท้ายนี้ คุณหมอหวังว่าเคสทั้งหมดจะเป็นกำลังใจ และเป็นกรณีศึกษาให้กับหลายๆ คู่ ไม่ว่าจะเป็น คนไข้ที่อายุเยอะ, มีไข่น้อยมาก, ไม่มีสเปิร์ม หรือใส่ตัวอ่อนมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าหากมีกำลังใจที่ดีและเตรียมความพร้อมให้ดี เลือกรอบที่ดีในการกระตุ้น วางแผนการรักษาที่ดี ก็จะมีโอกาสสำเร็จได้ และหากมีคำถามหรืออยากเข้ามาปรึกษากับคุณหมอ สามารถเข้ามาปรึกษาที่คลินิก Superior A.R.T. ได้ทุกวัน 

ข่าวสารและบทความอื่นๆ

ถามหมอ 💬 กับหมอนิ : ใส่ตัวอ่อนกลับแล้ว จะรู้ได้เมื่อไหร่ว่าท้อง?

หลังจากที่คุณแม่ได้ใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูกแล้ว จะต้องใช้เวลากี่วันจึงจะรู้ว่าท้อง?

5 สิ่งที่ต้องรู้ หากอยากมีลูกหลังอายุ 35 ปี

มาเรียนรู้ข้อมูลสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อม หากวางแผนมีลูกหลังอายุ 35 ปี เพราะปัจจุบันผู้หญิงเลือกที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิต ก่อนที่จะตัดสินใจมีลูก

คุณพนาภรณ์ มาแชร์ประสบการณ์การใช้ Embryo Glue ช่วยเพิ่มโอกาสให้น้องติดในครั้งแรก

คุณพนาภรณ์เข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว และเสริมด้วย Embryo Glue กาวติดตัวอ่อน ทีช่วยเพิ่มความสำเร็จในการตั้งครรภ์ จนครั้งเดียวก็ได้ลูกสมใจ