สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเผชิญปัญหามีบุตรยาก ทั้งที่พยายาม เพิ่มโอกาสมีลูกตามธรรมชาติ ด้วยการนับวันไข่ตก และมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่เหมาะสม แต่น้องก็ไม่มาสักที หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า… ที่เรานับวันไข่ตกนั้นถูกต้องหรือไม่? หรือมีปัจจัยด้านพฤติกรรมและสุขภาพใดที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติม? ใน EP. 57 นี้ คุณหมอจิว นพ. สิริเชษฐ์ อเนกพรวัฒนา – สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก จะมาไขข้อสงสัย พร้อมแนะนำวิธีเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้กับคุณ
ปัจจัยที่ทำให้มีลูกยาก 2:22
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องอายุ เมื่อผู้หญิงอายุเยอะขึ้น โอกาสในการตั้งครรภ์ก็ลดลง ซึ่งอายุเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ฉะนั้นจึงต้องมาแก้ไขเรื่องปัจจัยอื่นๆ
ก่อนจะเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ มีข้อที่เราควรคำนึงถึง 5 ข้อ ได้แก่
1. Fertile Window ช่วงเวลาในรอบเดือนที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด 2:51
ต้องรู้ว่า Fertile Window เป็นช่วงไหนของรอบเดือน
ตามหลักการจะเป็นช่วงก่อนตกไข่ 5 วัน โดยเฉพาะ 1-3 วันก่อนวันคาดการณ์ว่าไข่จะตก จะเป็นช่วงที่มีโอกาสการตั้งครรภ์สูงสุด แต่เมื่อไข่ตกไปแล้ว หลังจากนั้นโอกาสการตั้งครรภ์จะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อสเปิร์มเข้าไปอยู่ในร่างกายของผู้หญิงจะใช้เวลาเดินทางและสามารถรอไข่ตกได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าไข่ตกไปแล้ว ไข่จะรอสเปิร์มได้ไม่นาน ไข่จะมีอายุประมาณ 24 ชม. และจะฝ่อไป ทำให้หลังการตกไข่ไปแล้ว ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนั้น โอกาสการตั้งครรภ์อาจจะลดลง
2. ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ 4:03
มีการศึกษาในผู้ชายที่มีการหลั่งน้ำเชื้ออย่างสม่ำเสมอ เทียบกับคนที่หลั่งโดยเว้นระยะ แบบไหนถึงจะมีผลทำให้คุณภาพของเชื้อลดลง พบว่าผู้ชายที่เก็บน้ำเชื้อไว้นานเกิน 5 วัน น้ำเชื้อที่หลั่งออกมามีสเปิร์มตัวใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างน้อยลง และตัวสเปิร์มที่ตายอาจจะมีมากกว่า ซึ่งถ้าตรวจสเปิร์มจะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์จำนวนตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวดีอาจจะน้อยลง เพราะตัวสเปิร์มเก่าที่อยู่มานานมีจำนวนมากกว่า ตัวที่มีชีวิตปกติจึงมีเปอร์เซ็นต์ลดลงได้ นั่นคือ ถ้าเก็บไว้นานเกินกว่า 5 วัน หรือเกิน 7 วันขึ้นไป คุณภาพเชื้ออาจจะไม่ดี
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเพศสัมพันธ์ถี่เกินไป คุณภาพของสเปิร์มก็จะลดลงเพราะสร้างไม่ทัน จำนวนตัวก็จะลดลง จำนวนตัวที่เคลื่อนไหวอาจจะดี แต่ปริมาณตัวอสุจิต่อการหลั่งอาจจะน้อยลง ซึ่งปกติจะพบว่ามีผลน้อยลง ถ้าหลั่งถี่เกินกว่า 1-2 วัน ถ้าถี่มากกว่านั้นจะทำให้คุณภาพลดลงได้
แล้วในช่วงที่รู้ว่าไข่ตก ควรมีเพศสัมพันธ์บ่อยแค่ไหน?
แน่นอนว่าถ้าห่างไปก็ไม่ดี เพราะคุณภาพเชื้อจะไม่ดี และถ้าถี่ไป เมื่อตรวจคุณภาพเชื้อก็ไม่ดีเช่นกัน ซึ่งระยะเวลางดหลั่งที่ดีที่สุด คือ ช่วง 2-5 วัน
โดยมีการศึกษาเปรียบเทียบว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียวในช่วงวันใกล้ไข่ตก (1-2 วันก่อนไข่ตก) เทียบกับการมีหลายๆ ครั้งในช่วง 5 วันก่อนที่ไข่จะตก อาจจะวันละครั้งหรือวันเว้นวัน พบว่าหากมีมากกว่า 1 ครั้ง ในช่วงก่อนไข่ตก 5 วัน โอกาสการตั้งครรภ์ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่ว่าจะมีทุกวัน ทุก 2 วัน หรือมีทุก 3 วัน อย่างน้อยให้มีมากกว่า 1 ครั้ง จะเพิ่มปริมาณของอสุจิที่เข้าไปในมดลูก และไปปฏิสนธิได้ เทียบกับมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่ตกหรือใกล้ๆ ไข่ตกแค่ครั้งเดียว โอกาสการตั้งครรภ์ก็จะลดลง คุณหมอแนะนำว่าภายใน 5 วันก่อนไข่ตก ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะทุกวัน วันเว้นวัน หรือวันเว้น 2 วัน แน่นอนว่ามีประโยชน์หมด ไม่แตกต่างกัน
3. เทคนิคการตรวจวันที่ไข่ตก 7:18
การที่จะรู้ว่าเมื่อไรไข่จะตก มีเทคนิคการตรวจได้หลายแบบ วิธีง่ายๆ คือการใช้ปฏิทินในการนับวัน นับว่าความยาวรอบเดือนกี่วัน โดยนับจากวันแรกที่ประจำเดือนมา ไปจนถึงวันที่ประจำเดือนมาวันแรกของรอบถัดไป ถ้าความยาวรอบเดือนคือ 28 วัน ไข่จะตกในวันที่ 14 ของรอบเดือน หลังจากไข่ตกไปแล้ว หากไม่เกิดการปฏิสนธิ หลังจากนั้นอีก 14 วันประจำเดือนก็จะมา
ยกตัวอย่าง หากความยาวรอบเดือนคือ 29 วัน วันที่ไข่ตก คือ ความยาวรอบเดือน ลบด้วย 14 วัน จะเป็น 29 – 14 = 15 ไข่จะตก วันที่ 15 ของรอบเดือน หากความยาวรอบเดือนเป็น 32 วัน เมื่อลบด้วย 14 ไข่ก็จะตกวันที่ 18 ของรอบเดือน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ในกรณีที่รอบเดือนของคนไข้มาสม่ำเสมอ แต่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จะใช้วิธีนี้ในการคำนวณไม่ได้ เพราะไข่จะตกไม่สม่ำเสมอและไม่รู้วันที่ไข่ตกแน่นอน ซึ่งวิธีนี้เป็นการนับด้วยตัวเองโดยใช้ปฏิทิน ส่วนแอปพลิเคชั่นช่วยจดบันทึกประจำเดือน จะช่วยคำนวณวันให้เรา ซึ่งเหมาะกับคนไข้ที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ แต่ถ้ารอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จะทำให้เราไม่ทราบวันที่ไข่ตกชัดเจน จึงมีความคลาดเคลื่อนได้
นอกจากการนับวันปฏิทินหรือแอปพลิเคชั่นแล้ว ก็มีวิธีอื่นที่อาจจะช่วยยืนยันว่ามีไข่ตกจริง
ช่วงใกล้ๆ ไข่ตก ไปจนถึงช่วงหลังไข่ตกระยะหนึ่ง ลักษณะของตกขาวจะมีสีใสๆ ถ้าเอามือจับจะรู้สึกว่ายืดออกมาเป็นเส้นยาว ซึ่งเป็นลักษณะของตกขาวที่เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงช่วงใกล้ไข่ตก อาจจะบอกได้คร่าวๆ ว่าช่วงนั้นไข่ใกล้ตก
ใช้หลักการที่หลังไข่ตกจะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนหลั่งออกมา ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยน วิธีการก็คือจะวัดอุณหภูมิร่างกายตอนเช้าหลังตื่นนอนทุกวัน และจดบันทึกไว้ เมื่อไข่ตกอุณหภูมิร่างกายของผู้หญิงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นประมาณ 0.3-0.5 องศาเซลเซียส ซึ่งค่อนข้างน้อยมากและอาจจะระบุได้ค่อนข้างยากกว่าไข่จะตกช่วงไหน ส่วนหนึ่งเพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นคือไข่ตกไปแล้ว จึงเป็นการบอกย้อนหลัง ถ้าใช้อุณหภูมิอย่างเดียวในการดู อาจจะช่วยได้ไม่มาก ควรใช้วิธีอื่นร่วมด้วย และใช้การวัดอุณหภูมิเป็นการยืนยันว่ามีไข่ตกจริงๆ
ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนแผ่นตรวจการตั้งครรภ์ และจะจุ่มที่ปัสสาวะ โดยหลักการจะตรวจหาฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตก เมื่อตรวจแล้วขึ้น 2 ขีดเข้ม แปลว่า พบฮอร์โมนนี้ หมายความว่า 12-24 ชม. ถัดไป ไข่จะตก ซึ่งวันนี้จะเริ่มตรวจ LH Test คำนวณโดยการนับปฏิทินดูความยาวของรอบเดือน ลบด้วย 14 วัน จะเป็นวันคาดการณ์ว่าไข่จะตก
เช่น ประจำเดือนรอบที่แล้วมาวันที่ 1 และรอบนี้ประจำเดือนมาวันที่ 30 หมายความว่า ความยาวรอบเดือนคือ 29 วัน นำมาลบด้วย 14 (29-14=15) วันที่ไข่ตกคือวันที่ 15 ของรอบเดือน
การตรวจ LH Test เป็นการตรวจหาฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตก ซึ่งจะต้องเกิดก่อนวันที่ไข่ตกจริง จึงต้องเริ่มตรวจก่อนวันที่คาดการณ์ว่าไข่จะตก เช่น วันที่ไข่ตกคือวันที่ 15 ของรอบเดือน ต้องย้อนกลับไป 2-3 วัน จึงเริ่มตรวจการตกไข่ ถ้าตรวจแล้วขึ้น 2 ขีดเข้ม แนะนำให้มีเพศสัมพันธ์กันในช่วงนั้น เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
ส่วนวิธีการ Re-check ว่าเราระบุวันไข่ตกได้แม่นยำหรือไม่ คือจดในปฏิทินว่าคิดว่าไข่ตกวันนี้ และมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนั้น หากคำนวณทุกอย่างถูกต้อง ถ้าไข่ตกแล้วมีการปฏิสนธิขึ้นก็จะเกิดการตั้งครรภ์ แต่หากคำนวณถูกวันแล้วแต่มีปัจจัยอื่นๆ เช่น คุณภาพเชื้อไม่ดี แล้วไม่เกิดการตั้งครรภ์ อีก 14 วันถัดมา ประจำเดือนจะต้องมา แปลว่าเราคำนวณถูกแต่ไม่ท้อง
4. ข้อปฏิบัติในการมีเพศสัมพันธ์ที่มีส่วนช่วยให้โอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้น 14:57
หลายคนอาจจะคิดว่าหลังมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงจำเป็นต้องนอนเฉยๆ นาน 30 นาที ถึง 1 ชม. หรือนอนยกขาสูง เพื่อให้อสุจิสามารถอยู่ในช่องคลอดได้นาน ซึ่งจากการศึกษาหลายๆ อัน ระบุว่า ไม่ได้ช่วยให้โอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้น แนะนำว่าให้มีเพศสัมพันธ์ตามปกติ หลังจากนั้นให้นอนพัก 2-3 นาทีแล้วค่อยลุกขึ้น และห้ามสวนล้างช่องคลอด
ส่วนการใช้สารหล่อลื่น ผู้หญิงบางคนอาจจะมีน้ำหล่อลื่นน้อย ทำให้ต้องใช้สารหล่อลื่นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ จึงต้องดูว่าสารหล่อลื่นประเภทไหนมีผลต่อสเปิร์ม เช่น Olive oil, น้ำมันมะพร้าว, หรือสารหล่อลื่นประเภท Water based ทั้งหมดนี้คุณหมอไม่แนะนำให้ใช้ โดยสารหล่อลื่นที่สามารถใช้ได้ จะเป็นกลุ่ม Canola oil, Mineral oil, หรือกลุ่มสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของ Hydroxyethyl Cellulose ซึ่งไม่เป็นพิษต่อสเปิร์ม สามารถใช้ได้โดยไม่มีผลต่อคุณภาพสเปิร์ม
นอกจากนี้ มีการศึกษาตามสรีรวิทยาของผู้หญิง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ และสามารถถึงจุดสุดยอดได้ พบว่าร่างกายผู้หญิงจะมีการหลั่งอ๊อกซิโตซิน ที่ช่วยให้สเปิร์มไปถึงไข่ได้เร็วขึ้น โดยเป็นการศึกษาที่วัดปริมาณสเปิร์มที่ท่อนำไข่ตำแหน่งต่างๆ ตามว่าผู้หญิงถึงจุดสุดยอดหรือไม่
ช่องคลอดส่วนบนที่ใกล้ปากมดลูก จากเดิมที่เป็นทรงกระบอก จะมีการขยายออกเป็นกระเปาะที่ใหญ่ขึ้น ทำให้อสุจิสามารถค้างอยู่บริเวณนั้นได้มากขึ้น และอยู่บริเวณปากมดลูกได้นานขึ้น ถ้าผู้หญิงถึงจุดสุดยอด อาจจะทำให้โอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้น จึงมีการศึกษาเปรียบเทียบการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงใกล้ไข่ตก ในผู้หญิงที่ถึงจุดสุดยอดกับผู้หญิงที่ไม่เคยถึงจุดสุดยอด พบว่าไม่แตกต่างกัน อาจจะยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าช่วยหรือไม่ แต่ตามกลไกสรีรวิทยา การที่ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดก็อาจจะมีส่วนช่วยได้
5. เรื่องสุขภาพทั่วไป 18:41
พฤติกรรมที่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินของมันของทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งเรื่องคุณภาพไข่ การตกไข่ คุณภาพของสเปิร์มแย่ลงได้ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น โฮลวีต ผักผลไม้ ลดของมันของทอด
รวมถึงน้ำหนักตัวของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าเยอะเกินเกณฑ์ BMI สูงกว่าปกติ หรือมีภาวะอ้วน คุณหมอแนะนำให้ลดน้ำหนัก ถ้าสามารถลดน้ำหนักลงได้อย่างน้อย 5-10% ของน้ำหนักตัวปัจจุบัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น การตกไข่จะสม่ำเสมอขึ้น คุณภาพของสเปิร์มและไข่ก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้ อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องถึงเกณฑ์ปกติก็ได้
อย่างไรก็ตาม น้ำหนักที่น้อยเกินไปก็มีผลต่อคุณภาพของไข่ ความสามารถในการตกไข่ และคุณภาพของสเปิร์ม เพราะการที่ร่างกายจะมีระบบสืบพันธุ์ปกติ จำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารเพียงพอด้วย ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ควรอ้วนหรือผอมเกินไป
ส่วนการใช้วิตามินเสริมก่อนการตั้งครรภ์ คุณหมอแนะนำให้กินโฟลิก เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่เด็กจะมีความผิดปกติโดยเฉพาะเรื่องสมอง ถัดมาคือกลุ่ม Antioxidant ที่อาจจะช่วยเรื่องคุณภาพของไข่ได้ เช่น Coenzyme Q10, Astaxanthin, Vitamin C, Vitamin E รวมถึง Vitamin B รวม อาจจะมีส่วนช่วยให้คุณภาพของไข่และสเปิร์มดีขึ้นได้ ส่วนผู้ชายต้องเสริม Zinc มีส่วนช่วยเรื่องคุณภาพสเปิร์มได้ดี
ในปัจจุบันคนสัมผัสแดดน้อย หากเจาะเลือดอาจจะพบว่า Vitamin D ค่อนข้างต่ำ ถ้า Vitamin D ไม่เพียงพอ พบว่าคุณภาพไข่ อัตราการตั้งครรภ์จากการใส่ตัวอ่อน โอกาสการตั้งครรภ์ล้วนลดลง การเสริม Vitamin D จึงมีส่วนช่วยที่ทำให้โอกาสการตั้งครรภ์ หรือคุณภาพต่างๆ ดีขึ้นได้ ซึ่งการกิน Vitamin D สามารถกินได้เลยโดยไม่ต้องเจาะเลือดดู เพราะกว่า 90% ของคนไทยขาด Vitamin D สามารถกินสัปดาห์ละ 20,000 ยูนิต หรือ 600-800 ยูนิตต่อวัน ไม่มีผลเสีย หรือใครที่สะดวกที่จะเจาะเลือดตรวจค่า Vitamin D ก่อนว่าต้องเสริม Vitamin D หรือไม่ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ส่วนพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพของไข่และสเปิร์ม ควรงดการดื่มสุราและการสูบบุหรี่ จะช่วยให้คุณภาพต่างๆ ดีขึ้นได้
กาแฟมีผลต่อความสามารถในการเจริญพันธุ์หรือไม่?
หากดื่มตามปกติไม่ได้ส่งผลเสีย แต่ถ้าดื่มปริมาณเยอะเกินไป อาจจะทำให้คุณภาพสเปิร์มหรือไข่ และโอกาสการตั้งครรภ์ลดลงได้ แนะนำให้ดื่มไม่เกิน 2 แก้ว หรือ 2 ช็อตกาแฟ ถ้าเยอะกว่านั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งปริมาณนี้รวมถึงในช่วงตั้งครรภ์ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อเด็ก
นอกจากกาแฟแล้วต้องดูรวมถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม ชาเขียว หรือช็อกโกแลต ซึ่งควรจะต้องระวัง โดยรวมไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว หากต้องการจะทราบตัวเลขที่ชัดเจนว่าควรกินไม่เกินเท่าไรต่อวัน ต้องดูรายละเอียดปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มแต่ละประเภท
–คำถามเพิ่มเติมจากไลฟ์–
เป็น PCOS จำเป็นต้องรักษาให้หายก่อนไหม? 28:32
คนไข้มีภาวะที่ไข่ไม่ตกเรื้อรัง หรือ PCOS จะมีเกณฑ์ประเมินในการวินิจฉัยจาก การมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มีฮอร์โมนเพศชายเกิน เช่น มีสิว หน้ามัน มีขนดก และการตรวจอัลตราซาวด์แล้วพบถุงน้ำรังไข่หลายใบ
PCOS จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่จำเป็นต้องรักษาก่อนมาเริ่มกระบวนการ แต่แนะนำให้ปรับพฤติกรรม เช่น หากมีน้ำหนักเกิน ควรคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก และออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ 3-5 วัน หรือโดยรวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เพื่อให้ไข่มีคุณภาพที่ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ไม่ว่าจะเป็นการทำ IUI หรือการทำเด็กหลอดแก้ว
ถ้าประจำเดือนมาแบบกะปริบกะปรอย และหายไปก่อนประจำเดือนจะมา ทำให้การนับรอบเดือนคลาดเคลื่อนไหม? 30:17
บางคนอาจจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยก่อนประจำเดือนมา แต่วันแรกของประจำเดือน ให้เริ่มนับวันที่เลือดออกมาให้เห็นชัดเจนว่าเป็นประจำเดือน การที่มีเลือดออกกะปริบกะปรอยก่อนประจำเดือนมา 1-2 วัน ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่ถ้านาน 5-7 วัน อาจจะต้องหาสาเหตุเพิ่มเติมว่ามีโรคอะไรในโพรงมดลูกที่ต้องรักษาหรือไม่ เช่น ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เยื่อบุมดลูกหนาตัวผิดปกติ ในกรณีที่ไข่ไม่ตกเรื้อรัง หรือ PCOS อาจจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือนที่ผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นแนะนำให้หาสาเหตุว่าเป็นความปกติหรือผิดปกติ
นอกจากนี้ จะรู้ว่าเป็นประจำเดือนหรือไม่ อาจจะดูจากอาการอื่นด้วย เช่น รู้สึกท้องอืด แน่นท้อง คัดตึงเต้านม หรือบางคนอาจจะหงุดหงิดง่ายขึ้น ถ้ามีอาการร่วมเหล่านี้ก็สามารถจะระบุได้คร่าวๆ ว่าช่วงนั้นเราน่าจะเป็นประจำเดือนจริง แต่ถ้าไม่มีอาการอาจจะสงสัยว่าเป็นเลือดออกผิดปกติหรือไม่ หากบางครั้งมาไม่ตรงรอบ ผิดรอบ ให้สังเกตอาการอย่างอื่นเพื่อช่วยประเมินว่าใช่ประจำเดือนหรือไม่
หากลองวิธีธรรมชาติ นับวันไข่ตกมาหลายครั้งแล้วยังไม่สำเร็จ นานแค่ไหนถึงต้องปรึกษาคุณหมอ? 31:32
ขึ้นอยู่กับอายุของฝ่ายหญิง เนื่องจากโอกาสตั้งครรภ์ลดลงอย่างมากตามอายุฝ่ายหญิง ถ้าผู้หญิงอายุไม่เกิน 35 ปี สามารถลองด้วยวิธีธรรมชาติ 1 ปี ถ้ายังไม่ท้องก็ให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอ
หากอายุเกิน 35 ปี เมื่อเวลาผ่านไป โอกาสการตั้งครรภ์ก็จะลดลงเรื่อยๆ ถ้าลองด้วยวิธีธรรมชาติมา 6 เดือนแล้วยังไม่ท้อง ก็ให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอ หรือสามารถมาปรึกษาได้เลยโดยไม่ลองวิธีธรรมชาติก็ได้ เพื่อประเมินว่ามีภาวะมีบุตรยากหรือไม่
ถ้าอายุ 40+ ทำเด็กหลอดแก้วแล้วพบว่าตัวอ่อนมีโครโมโซมผิดปกติ มีแนวทางแก้ไขอย่างไร? 32:32
โครโมโซมตัวอ่อนมีความสัมพันธ์กับอายุฝ่ายหญิง โอกาสที่จะได้โครโมโซมตัวอ่อนที่ปกติจะลดลงตามอายุ หากอายุน้อยกว่า 35 ปี โอกาสที่จะได้ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติอยู่ที่ 60-70% หากอายุมากกว่า 35 ปี โอกาสก็จะลดลงเหลือ 50% สำหรับกลุ่มที่อายุเกิน 40 ปี โอกาสก็จะลดลงเหลือ 20-30% หรืออาจจะน้อยกว่า หากตรวจพบว่าผิดปกติ สิ่งที่ทำได้ คือ ต้องกระตุ้นเก็บไข่ใหม่ ให้ได้จำนวนไข่ที่มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้ตัวอ่อนที่โครโมโซมปกติ และควรเตรียมตัวก่อนมาเริ่มกระบวนการเพื่อส่งเสริมให้สุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และทานวิตามินเสริม
อยากใช้วิธีธรรมชาติ แต่เคยตรวจภายในและอัลตราซาวด์มาแล้วว่าเป็นคนไข่ตกน้อย มีวิธีแก้อย่างไร? 38:47
ไข่ตกน้อย อาจจะหมายถึงไข่ตกไม่สม่ำเสมอ ถ้าจะแก้ไขด้วยตัวเองต้องปรับเรื่องพฤติกรรม แต่อาจจะไม่ได้กลับมาตกตามปกติ 100% แนะนำให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอ อาจจะต้องใช้ยาในการกระตุ้นไข่ช่วยทำให้ไข่ตก และกลับไปมีเพศสัมพันธ์เอง ซึ่งจะค่อนข้างใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด แต่ถ้าจะรอให้ไข่ตกเอง บางครั้งอาจไม่รู้ว่าจะตกเมื่อไร และอาจจะต้องใช้เวลา
หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ทุกช่องทางของ Superior A.R.T.
LIVE โดย

นพ. สิริเชษฐ์ อเนกพรวัฒนา
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก
ข่าวสารและบทความอื่นๆ

