ในบทความที่แล้ว เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นั่นคือ การทำเด็กหลอดแก้ว ( IVF หรือ In Vitro Fertilization ) ไม่ว่าจะเป็น การทำเด็กหลอดแก้วคืออะไร? กรณีไหนควรทำเด็กหลอดแก้ว? การทำเด็กหลอดแก้วมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดและมีขั้นตอนอย่างไร? ( อ่านบทความแรกที่เกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้วได้ ที่นี่ )
ในบทความนี้ เราจะแนะนำขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้ง พร้อมรายละเอียดที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อให้คุณเข้าใจและเตรียมความพร้อมก่อน มีรายละเอียดอะไรบ้าง? มาเริ่มกันเลย
1. ปรึกษาแพทย์
เมื่อไหร่: สามารถปรึกษาได้ในทุกช่วงของประจำเดือน
ใช้เวลานานแค่ไหน: 45 – 60 นาที
ในขั้นตอนนี้ คุณจะได้รับการซักถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด การตรวจอัลตราซาวน์มดลูกและรังไข่, ตรวจการทำงานของฮอร์โมน, และการตรวจอื่นๆ ตามความจำเป็น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เข้าใจสภาพร่างกายโดยรวมของคุณ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
2. ขั้นตอนกระตุ้นไข่และการตรวจติดตาม
เมื่อไหร่: วันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของการมีประจำเดือน
ใช้เวลานานแค่ไหน: 10 – 12 วัน
เมื่อเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ขั้นตอนแรกคือการกระตุ้นไข่ในรังไข่ให้โตโดยการฉีดยาฮอร์โมน โดยเริ่มฉีดวันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของรอบเดือนของคุณ จนฟองไข่โตได้ขนาด ใช้เวลาประมาณ 9-12 วัน
ในรังไข่จะมีฟองไข่อยู่มากมาย ในฟองไข่จะประกอบด้วยเซลล์ไข่ หรือ oocyte ในแต่ละรอบเดือน ฟองไข่และเซลล์ไข่จำนวนหนึ่งจะเติบโตกลายเป็นไข่ที่โตเต็มวัย ดังนั้น เป้าหมายของการกระตุ้นไข่ คือการกระตุ้นให้ไข่ที่เตรียมโตในรอบเดือนนั้นๆ โตขึ้นให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่มีในแต่ละรอบด้วยยา เพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้ไข่โตเต็มวัยที่มีคุณภาพสูง
ระหว่างนี้ คุณต้องมาพบแพทย์ที่คลินิกทุกๆ 3-4 วัน ในช่วงเวลา 10 ถึง 12 วัน เพื่อตรวจเลือดและอัลตราซาวด์ ดูว่ารังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่อย่างไร เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว แพทย์จะให้ฉีดยากระตุ้นการตกไข่ (trigger shot) ที่เป็นฮอร์โมน human chorionic gonadotropin (hCG) หรือ leuprolide acetate (Lupron) เพื่อช่วยให้ไข่สุกและหลุดออกจากผนังของฟองไข่ พร้อมสำหรับการเก็บไข่ในขั้นตอนต่อไป
3. การเก็บไข่และการเก็บน้ำเชื้ออสุจิ
เมื่อไหร่: 36 ชั่วโมงหลังการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก
ใช้เวลานานแค่ไหน: 1-2 ชั่วโมง
หลังการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก 36 ชั่วโมง จะเริ่มกระบวนการเก็บไข่ โดยใช้อัลตราซาวด์นำเพื่อให้เห็นฟองไข่ชัดเจน และใช้เข็มขนาดเล็กสอดผ่านผนังช่องคลอด เข้าไปในฟองไข่และดูดเก็บไข่ออกมา ตลอดกระบวนการ แพทย์จะให้ยาสลบ คุณจึงแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ใช้เวลาในการเก็บไข่ประมาณ 15-20 นาที
ในวันเดียวกับวันเก็บไข่ คู่สมรสของคุณก็มาเก็บน้ำเชื้อ โดยปกติแล้วแนะนำให้ฝ่ายชายเก็บอสุจิในวันเดียวกับวันเก็บไข่ที่คลินิก แต่ถ้าหากฝ่ายชายไม่สามารถเก็บอสุจิในวันดังกล่าวได้ ก็สามารถมาเก็บอสุจิก่อน แล้วแช่แข็งน้ำเชื้อไว้ล่วงหน้า และละลายมาใช้ในวันเก็บไข่
วิธีการเก็บน้ำเชื้ออสุจิที่ดีที่สุดคือการช่วยตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้น้ำเชื้อปนเปื้อนกับของเหลวอื่นๆ ของฝ่ายหญิง (เช่น น้ำลาย น้ำหล่อลื่นช่องคลอด) ซึ่งอาจมีแบคทีเรียปะปนอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการปฏิสนธิ (fertilization) หรือการเพาะเลี้ยงได้ และหลังจากที่ฝ่ายชายเก็บน้ำอสุจิเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งน้ำเชื้อให้ผู้นักวิทยาศาสตร์ที่รออยู่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อเตรียมน้ำอสุจิต่อไป
นักวิทยาศาสตร์จะนำน้ำอสุจิ มาพักไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้น้ำอสุจิละลายตัวให้เหลวก่อน จากนั้นจะทำการปั่นล้างเพื่อเอาอสุจิที่ไม่เคลื่อนไหวและเศษเซลล์ต่างในน้ำอสุจิออก และทำการวิเคราะห์คุณภาพน้ำอสุจิ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่จะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจว่าจะทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หรือ ICSI โดยแพทย์จะเลือกการทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หากผลน้ำอสุจิเป็นปกติ แต่หากผลอสุจิมีคุณภาพต่ำกว่าค่ามาตรฐาน แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธี ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสให้ไข่และอสุจิปฏิสนธิได้มากขึ้น
สำหรับการปฏิสนธิด้วยวิธี IVF อสุจิจะเข้าไปปฏิสนธิกับไข่เอง ส่วนวิธี ICSI นักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิตัวที่แข็งแรงหนึ่งตัวฉีดเข้าไปในไข่ที่โตเต็มวัยโดยตรงเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ วิธี ICSI นี้ใช้เวลานานกว่าวิธี IVF และต้องทำโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญ
ไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิแล้วจะถูกเรียกว่า ‘ตัวอ่อน’
4. การเลี้ยงตัวอ่อน
เมื่อไหร่: หลังจากปฏิสนธิด้วยวิธี IVF หรือ ICSI
ใช้เวลานานแค่ไหน: 5-6 วัน
หลังจากที่ไข่และอสุจิปฏิสนธิจนกลายเป็น ‘ตัวอ่อน’ แล้ว ตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 5 – 6 วัน จนพัฒนาและเติบโตถึงระยะบลาสโตซิสต์ พร้อมที่จะย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก สำหรับตัวอ่อนที่ไม่สามารถเติบโตถึงระยะบลาสโตซิสต์นั้นโดยทั่วไปถือว่าเป็นตัวอ่อนที่ไม่แข็งแรง โอกาสฝังตัวในมดลูกน้อย จึงไม่ควรนำมาย้ายกลับไปสู่โพรงมดลูก กระบวนการเลี้ยงตัวอ่อนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน ที่ชำนาญการใช้งานอุปกรณ์เทคนิคขั้นสูงและวิธีการจัดการสภาพแวดล้อมภายในห้องปฏิบัติการให้เหมาะแก่การเติบโตของตัวอ่อน
ที่ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ใช้ตู้เลี้ยงตัวอ่อน GERI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ภายในเครื่องติดตั้งระบบกล้องถ่ายภาพจุลทรรศน์คุณภาพสูง หนึ่งตัวต่อหนึ่งจานเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ช่วยให้สามารถติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนได้โดยละเอียด โดยไม่ต้องขยับจานเพาะเลี้ยงหรือตัวอ่อนเลย แต่ละจานเพาะเลี้ยงเป็นอิสระแยกขาดจากกัน ทำให้สามารถควบคุมและปรับสภาวะแวดล้อมของการเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับตัวอ่อนแต่ละตัว การใช้ตู้เลี้ยงระบบแยกเลี้ยงนี้ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์เนื่องจากตัวอ่อนสามารถเจริญเติบโตในสภาวะแวดล้อมที่คงที่ไม่ถูกรบกวน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนของเรา คลิกที่นี่
5. การย้ายตัวอ่อน
เมื่อไหร่: หลังกระบวนการเพาะเลี้ยงตัวอ่อน
ใช้เวลานานแค่ไหน: 2 ชั่วโมง
ในขั้นตอนสุดท้าย แพทย์จะเลือกตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ ย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ผ่านกระบวนการที่ง่ายและไม่เจ็บปวด โดยตัวอ่อนถูกดูดไว้ในสายย้ายตัวอ่อน และใช้อัลตราซาวด์ช่วยนำทางให้เห็นปลายสาย ที่สอดผ่านปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูก หลังจากนั้นจะฉีดตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวที่ผนังมดลูกให้เริ่มเจริญเติบโต
ประมาณ 7-10 วันหลังจากการย้ายตัวอ่อน จะทดสอบการตั้งครรภ์ และประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ก็สามารถมาตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูถุงการตั้งครรภ์ ยืนยันการตั้งครรภ์
6. การแช่แข็งตัวอ่อน
เมื่อไหร่: หลังจากกระบวนการย้ายตัวอ่อน
ใช้เวลานานแค่ไหน: 1-2 ชั่วโมง
สำหรับตัวอ่อนที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่ยังไม่ได้ทำการย้ายตัวอ่อน สามารถแช่แข็ง เพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต ด้วยวิธีการแช่แข็งตัวอ่อนแบบผลึกแก้ว (Vitrification) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ลดอุณหภูมิขณะแช่แข็งตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งในเซลล์ตัวอ่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายของตัวอ่อน วิธีการนี้ช่วยให้ตัวอ่อนถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างยาวนานและคงคุณภาพสูง หากเก็บรักษาไว้ในห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานสูง และควบคุมคุณภาพและติดตามปริมาณไนโตรเจนเหลว ตลอดจนตรวจเช็คความสมบูรณ์ของอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
หากคุณต้องการตั้งครรภ์อีกครั้ง ก็สามารถนำตัวอ่อนแช่แข็งเหล่านี้กลับมาใช้ได้
เกี่ยวกับ ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที
ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2550 โดยความร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และเด็กหลอดแก้วในประเทศไทยและประเทศออสเตรเลีย ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. เป็นคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากและวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนที่เพียบพร้อมด้วยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ และทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproduction Technology – A.R.T.) พวกเรามีความมุ่งมั่นจะสานทุกความฝันในการมีบุตรของทุกครอบครัวให้สมบูรณ์