ใน EP. 59 นี้ คุณหมอนิ พญ. นิศารัตน์ สุนทราภา – สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก จะมาพูดถึงเรื่อง ถ้าหากมีไข่ในรังไข่น้อย จะยังสามารถทำเด็กหลอดแก้วได้อยู่หรือไม่ และจะต้องตรวจประเมินและการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
ไข่ของผู้หญิงมีจำนวนจำกัด 0:35
ปกติแล้วไข่ในรังไข่ของผู้หญิงจะมีการสร้างแค่ครั้งเดียว ต่างจากอสุจิของผู้ชายที่สามารถสร้างใหม่ได้ตลอดเวลา นั่นหมายถึง ไข่ของผู้หญิงถ้าหมดแล้วคือหมดเลย แต่ในผู้ชาย ถึงอายุมาก 50-60 ปี ถ้ายังแข็งแรงก็ยังสามารถมีลูกได้เรื่อยๆ
โดยไข่ของผู้หญิงจะสร้างตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องของแม่ ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์ หรือ 4-5 เดือน โดยจะมีจำนวนประมาณ 6-7 ล้านฟอง หลังจากนั้นไข่กองนี้จะค่อยๆ สลายไปเรื่อยๆ ตอนแรกเกิด จำนวนไข่จะลดลงเหลือเพียง 1-2 ล้านใบเท่านั้น จากนั้นไข่ก็ทยอยฝ่อไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่วัยรุ่น จำนวนไข่เหลืออยู่ประมาณ 3-5 แสนใบ และลดลงเรื่อยๆ เหลืออยู่แค่หลักพันเท่านั้นในช่วงใกล้วัยทอง จึงเป็นที่มาว่าทำไมเมื่ออายุมากขึ้น ไข่ถึงน้อยลง และโอกาสมีลูกจึงยากขึ้น
ไข่หายไปได้อย่างไร? 02:14
ปกติแล้วในแต่ละรอบเดือน ช่วงประมาณ วันที่ 2 หรือ 3 ของรอบ จะมีไข่มารอโตหลายๆ ใบ แต่ในจำนวนหลายใบนี้ จะมีไข่ที่เก่งที่สุดแค่ 1-2 ใบเท่านั้น ที่สามารถโตต่อและตกไข่ได้ ส่วนไข่ใบอื่นๆ ก็จะสลายตัวไป
การตรวจจำนวนไข่ ที่ยังเหลืออยู่มีมากน้อยแค่ไหน ทำได้อย่างไร? 04:25
- การตรวจเลือด ดูค่าฮอร์โมน AMH ที่ช่วยบอกได้ว่าในช่วงอายุปีนี้ จำนวนไข่ที่เหลืออยู่ในร่างกายของเรามีมากหรือน้อยขนาดไหน โดยสามารถตรวจได้ในช่วงไหนของรอบเดือนก็ได้
- การตรวจเลือด ค่าฮอร์โมน FSH, LH และ Estradiol ในช่วงวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบเดือน จะช่วยบอกว่าในรอบเดือนนี้ จำนวนไข่มีเยอะมากน้อยขนาดไหน ถ้าฮอร์โมน FSH สูง แปลว่ารอบเดือนนี้จำนวนไข่น่าจะน้อย อาจจะต้องใช้ยากระตุ้นไข่เยอะขึ้น
- การทำอัลตราซาวด์ในช่วงวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบเดือน เพื่อดูฟองไข่ว่ามีจำนวนอยู่เท่าไหร่ ซึ่งจำนวนที่ดีควรอยู่ที่ประมาณ 10-15 ใบ
หากตรวจแล้วพบว่า ค่าฮอร์โมน AMH น้อย อัลตราซาวด์เห็นไข่น้อย ค่าฮอร์โมนไม่ค่อยดี จะมีผลต่ออะไรบ้าง? 06:00
เพื่อพิจารณาทางเลือกในการรักษาในกรณีที่มีไข่น้อย จะต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ดังนี้
- อายุของฝ่ายหญิง เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด หากไข่น้อยและอายุเยอะด้วย เช่น อายุเกิน 38 ขึ้นไป ควรจะต้องรีบรักษา เพราะรอไม่ได้ และอาจต้องเลือกใช้วิธีการรักษาที่มีอัตราความสำเร็จที่สูงกว่า เช่นการทำเด็กหลอดแก้ว อาจจะใช้วิธีการกินยากระตุ้นไข่และมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติไม่ได้แล้ว หรือหากคนไข้ขอลองทำ IUI ก่อน สามารถทำได้ แต่ควรจำกัดจำนวนรอบที่ทำ อาจจะลองทำ IUI ประมาณ 1-2 รอบ หากไม่สำเร็จควรจะเปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้วที่มีโอกาสสำเร็จได้มากกว่า
- สุขภาพของฝ่ายหญิง ว่าสามารถท้องเองตามธรรมชาติได้หรือไม่ ถ้าท่อนำไข่ของผู้หญิงตัน ก็ไม่มีโอกาสที่จะมีลูกได้ตามธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าท่อนำไข่ตันและมีไข่น้อย ก็ไม่ต้องเสียเวลากับการทำเองตามธรรมชาติ หรือ IUI ให้ข้ามไปทำเด็กหลอดแก้วเลย
- อสุจิของสามี หากมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็น จำนวนของอสุจิที่น้อยกว่าเกณฑ์ จำนวนตัววิ่งที่น้อยกว่าเกณฑ์ หรือรูปร่างของสเปิร์มที่มีความผิดปกติมาก จะส่งผลให้ไข่และอสุจิผสมกันเองตามธรรมาชาติได้น้อย ก็ไม่ต้องเสียเวลาลองธรรมชาติ หรือ IUI สามารถขยับไปทำเด็กหลอดแก้วได้เลย
อสุจิต่ำกว่าเกณฑ์แบบไหนที่ควรทำเด็กหลอดแก้ว? 09:07
ถ้าจำนวนอสุจิน้อยกว่า 15 ล้านตัว ต่อน้ำอสุจิ 1 cc จะมีโอกาสมีลูกเองตามธรรมชาติลดลง หรือถ้าจำนวนตัวอสุจิที่วิ่งน้อยกว่า 10-15 ล้านตัว ต่อการหลั่งแต่ละครั้ง ก็มีโอกาสท้องเองตามธรรมชาติลดลงเช่นกัน จึงควรพิจารณาการรักษาด้วยวิธี IUI หรือเด็กหลอดแก้ว
ถ้าไข่น้อย อายุยังไม่มาก สเปิร์มของสามีก็ดี ท่อนำไข่ไม่ตัน สามารถลองเองตามธรรมชาติได้ไหม? 09:51
สามารถทำได้ เพราะท้องธรรมชาติต้องการไข่ที่โตรอบละ 1-2 ใบเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะมีไข่เริ่มต้นกี่ใบ ถ้ามีไข่โตในรอบเดือนนั้นอย่างน้อย 1 ใบ และมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงกับวันไข่ตก โอกาสท้องจะยังดีอยู่ แม้ว่ามีจำนวนไข่น้อย ก็อาจจะลองธรรมชาติได้ โดยอาจจะพิจารณาทานยากระตุ้นไข้ให้โต เพื่อให้แน่ใจว่า ในรอบเดือนนั้นๆ มีไข่โตอย่างน้อย 1 ใบแน่ๆ
แต่กลับกัน ถ้าไข่มีจำนวนน้อยด้วย และอายุฝ่ายหญิงก็เยอะ ก็ไม่ควรเสียเวลากับวิธีธรรมชาตินานนัก เพราะโอกาสสำเร็จน้อย เพราะอายุฝ่ายหญิงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไข่มีโครโมโซมที่ผิดปกติสูงขึ้น ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จาก % ตัวอ่อนที่ปกติจากการตรวจโครโมโซม ตามอายุฝ่ายหญิง ถ้าตอนนี้ฝ่ายหญิงอายุไม่เกิน 30 ปี โอกาสที่จะได้ตัวอ่อนปกติจะอยู่ที่ 70-80% แต่ถ้าอายุเยอะขึ้น ไม่เกิน 35 ปี เปอร์เซ็นต์ที่ตัวอ่อนปกติจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 50-60% ถ้าอายุเกิน 38-40 ปี เปอร์เซ็นต์จะลดลงมาเหลือเพียง 30-40% เท่านั้น ฉะนั้นหากอายุเยอะแล้ว บวกกับมีไข่น้อย โอกาสที่ท้องเองตามธรรมชาติค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ควรรีบมารักษาด้วยวิธีที่มีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น
สรุปวิธีการรักษาไข่น้อย 12:32
- การกินยากระตุ้นไข่ และมีเพศสัมพันธ์กันเองในวันไข่ตก มีโอกาสท้องประมาณ 4% ต่อรอบเดือน
- การฉีดน้ำเชื้อของสามีเข้าโพรงมดลูก (IUI) ในคนไข้ที่มีอายุไม่เกิน 35 ปี เปอร์เซ็นต์ท้องโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15% ต่อรอบ
- การทำเด็กหลอดแก้ว วิธีที่มีขั้นตอนมากที่สุด แต่ก็มีโอกาสสำเร็จสูงที่สุด
IVF / ICSI คืออะไร? 13:07
การทำเด็กหลอดแก้วคือการฉีดยาเพื่อกระตุ้นให้ไข่ในรอบเดือนนั้นๆ โตขึ้นมาพร้อมๆ กัน เมื่อไข่โตเต็มที่ จึงเก็บไข่ออกมาจากรังไข่ โดยจะได้จำนวนไข่ที่โต มากกว่ารอบธรรมชาติ หลังจากที่ได้ไข่มาแล้ว คุณสามีก็เก็บสเปิร์ม นักวิทยาศาสตร์ ก็จะเลือกสเปิร์มตัวที่วิ่งและมีรูปร่างปกติ ผสมกับไข่ อาจจะด้วยวิธี ICSI หรือ IVF แล้วก็จะเลี้ยงตัวอ่อนต่อ 5-6 วัน เมื่อตัวอ่อนโตถึงระยะบลาสโตซิสต์ แล้วก็จะอาจจะตรวจโครโมโซม แล้วแช่แข็งไว้ หรือย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก
จะเลือกตรวจโครโมโซมตัวอ่อนหรือไม่ ขึ้นกับมีข้อบ่งชี้หรือไม่ หากคนไข้เคยมีประวัติแท้งหลายครั้ง หรืออายุเกิน 35 ปี หรือเคยตั้งครรภ์แล้วลูกมีความผิดปกติเรื่องโครโมโซม การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนย้ายตัวอ่อนกลับเข้าโพรงมดลูกก็จะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ ที่ Superior A.R.T.โอกาสการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 70-75% ต่อการย้ายตัวอ่อนปกติ 1 ตัว ต่อรอบ เพราะฉะนั้นวิธีนี้เป็นวิธีที่มีโอกาสสำเร็จมากที่สุด
สำหรับคนไข้ที่อายุเยอะหรือจำนวนไข่น้อย
ถ้าไข่น้อยต้องรีบทำ IVF/ICSI เลยไหม? 15:51
ต้องดูก่อนว่าฝ่ายหญิงอายุเท่าไร ท่อนำไข่ตันหรือไม่ และอสุจิมีปัญหาอะไรไหม ถ้าอายุน้อย ท่อนำไข่ไม่ตัน อสุจิดี อาจจะลองตามธรรมชาติก่อนได้ หาก 6 เดือนแล้ว ลองธรรมชาติหรือฉีดเชื้อแล้วไม่สำเร็จ ค่อยขยับไปทำเด็กหลอดแก้วได้ หากอายุเยอะ อสุจิไม่ค่อยดี หรือท่อนำไข่ตัน ก็ทำเด็กหลอดแก้วเลยเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นที่มาของการแช่แข็งไข่ เพราะผู้หญิงยุคนี้ พร้อมสร้างครอบครัวช้ากว่าเดิม กว่าจะแต่งงานและพร้อมที่จะมีลูก อายุก็เยอะขึ้น โอกาสมีลูกก็ยากขึ้น การแช่แข็งไข่อาจจะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ โดยขั้นตอนเริ่มจากกระตุ้นไข่และเก็บไข่ออกมาแช่แข็งเอาไว้ เมื่อพร้อมมีบุตรก็นำไข่มาละลาย แล้วผสมกับอสุจิต่อไป โดยไข่ที่ละลายมานั้นจะมี % ของโครโมโซมที่ปกติเท่ากับตอนอายุที่แช่ไข่ แม้ว่าจะละลายออกมาใช้หลายปีต่อมาก็ตาม เรียกว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหามีลูกยากในอนาคต ในคนไข้ที่คิดว่าอาจจะแต่งงานช้า หรืออาจจะมีไข่น้อยในอนาคต
นอกจากเรื่องอายุ มีปัจจัยอื่นอีกไหมที่ส่งผลให้มีลูกยาก หรือมีไข่น้อย? 17:45
กรณีของคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องถุงน้ำรังไข่ หรือซีสต์ในรังไข่ โดยเฉพาะช็อกโกแลตซีสต์ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ จำนวนไข่ในรังไข่จะลดลงเร็วกว่าคนที่ไม่มีปัญหานี้ เพราะช็อกโกแลตซีสต์ทำให้เกิดการอักเสบ ทำให้ไข่ที่อยู่รอบๆ ก้อนซีสต์มีการสูญสลายไปเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นคนไข้ที่มีช็อกโกแลตซีสต์ ยิ่งถ้าก้อนใหญ่ หรือเคยผ่าตัดแล้วผ่าตัดหลายรอบ ต้องระวังว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องมีไข่น้อย
คนไข้ที่เคยผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตซีสต์ หรือซีสต์ชนิดอื่นๆ อย่าได้วางใจ ควรมาตรวจดูไข่ เพราะการผ่าตัดโดยเฉพาะการเลาะถุงน้ำรังไข่ หรือซีสต์ จะทำให้มีการสูญเสียเนื้อรังไข่ที่ดีออกไปด้วย ทำให้ปริมาณไข่ในรังไข่ลดลงหลังผ่าตัด
อีกปัจจัยหนึ่งคือ พันธุกรรม ซึ่งอาจจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เว้นแต่ในกรณีที่พี่สาวหรือน้องสาวมีประวัติหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ ก็อาจจะทำให้รู้ได้ว่าเรามีโอกาสที่จะมีไข่ที่น้อยกว่าคนอื่นๆ ก็ได้ หากยังไม่แน่ใจว่ามีไข่น้อยไหม ก็สามารถมาตรวจดูก่อนเพื่อวางแผนสำหรับอนาคตได้
สรุปก็คือถ้าผู้หญิงคนไหนที่ตรวจแล้วเจอว่ามีปัญหาเรื่องไข่น้อย ยังไม่ต้องกังวล ต้องดูปัจจัยแวดล้อมร่วมด้วย เช่น อสุจิสามีดีหรือไม่ อายุของเราเยอะแค่ไหน แล้วค่อยมาประเมินว่าวิธีที่เหมาะสมที่สุดของเราคือแบบไหน
ถ้ามีไข่น้อย ต้องเตรียมตัวก่อนทำเด็กหลอดแก้วอย่างไรบ้าง? 25:51
- ไม่นอนดึก ให้นอนก่อน 5 ทุ่ม โดยพยายามนอนในช่วง 5 ทุ่ม-ตี 1 เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายสร้าง Growth Hormone แม้บางครั้งจะจำนวนไข่ในร่างกายน้อย แต่ไข่ที่ถูกดึงออกมาใช้ในแต่ละรอบอาจจะเยอะก็ได้ ถ้าเรานอนเร็ว
- ลดแป้ง น้ำตาล เพื่อไม่ให้มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งส่งผลให้จำนวนไข่แต่ละรอบน้อยลงและดื้อต่อการกระตุ้นไข่
- เน้นทานผัก ผลไม้ ไฟเบอร์ และเพิ่มโปรตีนจากไข่ขาววันละฟองในช่วงก่อนกระตุ้นไข่
- ทานวิตามินกลุ่ม Folic, วิตามิน D, Antioxidants เช่น CoQ10, วิตามิน C, วิตามิน E อาจจะช่วยเรื่องคุณภาพไข่ ในกรณีคนไข้ที่ไข่น้อยมากๆ คุณหมออาจจะให้ทาน DHEA ก่อนที่จะเริ่มกระตุ้นไข่ประมาณ 1-2 รอบเดือน แต่จำเป็นต้องมาตรวจก่อน เพราะบางคนกิน DHEA แล้วไข่จะยิ่งน้อย แต่บางคนกินแล้วอาจจะได้ประโยชน์ หรือหากกินต่อเนื่องนานเกินไปอาจจะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้
ถาม-ตอบเพิ่มเติมจากไลฟ์
ทำ ICSI แล้วรอเคลียร์ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก ต้องพักกี่เดือนถึงจะใส่ตัวอ่อนได้? 20:40
ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก คือชิ้นเนื้อที่อยู่ในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งจะยื่นออกมาและอาจรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน เมื่อผ่าตัดส่องกล้องก็จะตัดติ่งเนื้อให้เรียบเสมอกับเยื่อบุโพรงมดลูกรอบๆ หลังจากนั้นถ้ามีประจำเดือนมา ในเดือนต่อไปก็สามารถเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกได้เลย ยกเว้นมีติ่งเนื้อเยอะมาก ต้องใช้จี้ไฟฟ้าในตอนตัดเยอะ คุณหมออาจจะประเมินให้พัก 1-3 รอบเดือน ซึ่งมีงานวิจัยที่บอกว่าการส่องกล้องรอบก่อนที่จะใส่ตัวอ่อน ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีขึ้น
เยื่อบุโพรงที่ดีเป็นอย่างไร? 21:58
ต้องดูว่าวันที่วัดผนังมดลูกเป็นช่วงไหนของรอบเดือน ถ้าตรวจช่วงมีประจำเดือนจะพบว่าเยื่อบุโพรงมดลูกจะยังหนา จากเลือดประจำเดือนที่ยังค้างอยู่ ช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะบอกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกหนาหรือไม่ คือ Day 10-12 ของรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงก่อนไข่ตก โดยเยื่อบุโพรงมดลูกที่ดีควรจะเรียงตัวสวยเป็น 3 ชั้นชัดเจน แต่บางคนเส้นชั้นอาจจะเบลอๆ แต่คนไข้ก็สามารถท้องได้ ซึ่งองค์ประกอบ 2 อย่างที่จะพอว่าเยื่อบุโพรงมดลูกสวยหรือไม่ คือการเรียงตัวที่เห็นเป็น 3 ชั้นชัดเจน และความหนาประมาณ 8-12 มิลลิเมตร
การตรวจโครโมโซมมีผลเสียต่อตัวอ่อนหรือไม่ 27:44
ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญความชำนาญของนักวิทย์และเทคนิคที่ใช้
ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาการของตัวอ่อน โดยจะเริ่มจาก Day 1 หากตัวอ่อนปกติก็จะมีกลมๆ เล็กๆ 2 อันหรือเรียกว่า 2PN ถ้าผิดปกติก็จะเป็น 1PN, 0PN, หรือ 3PN เมื่อถึง Day 2 ก็ควรจะมี 2-4 เซลล์ Day 3 ควรมี 6-8 เซลล์ เมื่อพัฒนาจนถึง Day 5 หรือระยะบลาสโตซิสต์
ที่ Superior A.R.T. จะมีการเปิดเปลือกตัวอ่อนที่ Day 3-4 ซึ่งจะใช้เลเซอร์เปิดรูเล็กๆ เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนใน Day 5 สามารถดันให้เปลือกแตกและฟักออกมาได้ในระยะ Hatching Blastocyst ซึ่งจะเห็นว่าตัวอ่อนยังมีเปลือกอยู่ และมีเซลล์ที่ฟักออกมาจากเปลือก
ในการดูดเซลล์ไปตรวจ ตัวอ่อนต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- อยู่ในระยะ Blastocyst หรือ Hatching Blastocyst
- ต้องมีเซลล์ทัั้งสองกลุ่มชัดเจน คือ กลุ่มที่กองกันเป็นก้อนที่จะกลายไปเป็นเด็กทารก กับกลุ่มเซลล์รอบๆ ที่จะกลายไปเป็นเนื้อรก
ที่ Superior A.R.T. จะรอให้ตัวอ่อนฟักออกมาก่อน แล้วจะดูดเซลล์จากส่วนที่เป็นเนื้อรก เพื่อลดความบอบช้ำของตัวอ่อน ในขณะที่บางคลินิคอาจจะไม่ได้รอถึงระยะนี้ อาจจะดูดเซลล์ในวันที่เปิดเปลือกเลย ซึ่งการดูดเซลล์ในระยะที่ฟักออกจากเปลือกแล้ว จะมีจำนวนเซลล์มากกว่า ทำให้ความเสียหายน้อยกว่า
กินยาคุมนานๆ ทำให้มีบุตรยากไหม? 33:09
ปกติแล้วการกินยาคุมนานๆ ไม่ค่อยมีปัญหา หลังจากที่หยุดกิน ยาคุมก็จะค่อยๆ ถูกล้างออกไปจากร่างกาย ประมาณ 1-2 เดือนหลังจากนั้น ส่วนใหญ่จะมีการตกไข่ได้ตามปกติ แต่ก็มีบางเคสที่กินยาคุมมานาน แล้วยาคุมไปกดเยื่อบุโพรงมดลูกให้บางมาก กว่าที่เยื่อบุโพรงมดลูกจะหมดฤทธิ์ของยาคุมอาจจะใช้เวลานาน แต่หากเป็นยาคุมแบบฉีดทุกๆ 3 เดือน อาจจะมีผลทำให้มีบุตรยากได้ เพราะฤทธิ์ของยาที่แม้จะเกิน 3 เดือนไปแล้ว แต่อาจยังกดการทำงานของไข่ได้นาน 6 เดือนถึง 1 ปี เพราะฉะนั้นคุณหมอจะไม่แนะนำให้ฉีดยาคุมในคนไข้ที่ยังอยากมีลูก
แต่ถ้าจะกระตุ้นไข่ คุณหมอจะให้หยุดยาคุมก่อน 1 รอบ เพราะบางคนที่กินยาคุมมานาน เมื่อกระตุ้นไข่จะพบว่าบางครั้งฤทธิ์ของยาคุมจะยังกดไข่ ทำให้ใช้เวลาในการกระตุ้นยาวขึ้น หรือจำนวนไข่ที่ตอบสนองต่อยาน้อยลง
หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ทุกช่องทางของ Superior A.R.T.
LIVE โดย

พญ. นิศารัตน์ สุนทราภา
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และภาวะการมีบุตรยาก
ข่าวสารและบทความอื่นๆ





