ข่าวสารและบทความ

เด็กหลอดแก้ว คืออะไร รวมข้อมูลการทำ IVF (In Vitro Fertilization )

การทำเด็กหลอดแก้ว คือการทำ IVF (In Vitro Fertilization) หรือการทำกิ๊ฟท์ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่มีประสิทธิภาพสูง และอัตราการตั้งครรภ์สูงที่สุดจากทุกวิธีในปัจจุบัน การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับคู่สมรสที่อยากเป็นว่าที่คุณพ่อคุณแม่ แต่กำลังเผชิญปัญหาภาวะมีบุตรยาก แต่การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) จะมีรายละเอียดสำคัญใดบ้างที่ (ว่าที่) คุณพ่อคุณแม่ควรรู้? วันนี้ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. มีคำตอบ

1. การทำเด็กหลอดแก้ว IVF คืออะไร?
2. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ใช้ในกรณีใดบ้าง?
3. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  มีขั้นตอนอย่างไร?
4. แพทย์จะย้ายตัวอ่อนกลับจำนวนมากน้อยเพียงใด?
5. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  ปลอดภัย/มีความเสี่ยงแค่ไหน?
6. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  มีอัตราความสำเร็จเท่าไหร่?
7. บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับกับ เด็กหลอดแก้ว และ IVF


1. การทำเด็กหลอดแก้ว IVF คืออะไร?

การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ที่มักเรียกกันโดยย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า IVF (In-vitro Fertilization) คือวิธีการที่ช่วยให้คู่ที่ไม่สามารถมีบุตรได้เองตามธรรมชาติ สามารถมีบุตรได้ ด้วยเทคโนโลยีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย วิธีนี้แพทย์จะนำไข่ของฝ่ายหญิงและอสุจิที่แข็งแรงของฝ่ายชายมาผสมกันให้การเกิดการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการ เมื่อไข่กับอสุจิผสมกันจนกลายเป็น “ตัวอ่อน” ในระยะที่เหมาะสมแล้ว ก็จะย้ายตัวอ่อนดังกล่าวกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป

2. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ใช้ในกรณีใดบ้าง?

ปัจจัยที่มักส่งผลให้คู่สมรสเผชิญภาวะมีบุตรยากและต้องหันมาพึ่งกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว เช่น

  • ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
  • เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือ chocolate cyst
  • ท่อนำไข่อุดตันหรือถูกทำลาย
  • มีการตกไข่ผิดปกติ เนื่องจากภาวะหรือโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติไป
  • ฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของอสุจิ ได้แก่ จำนวนน้อย, รูปร่างผิดปกติ, เคลื่อนที่ไม่ดี เป็นต้น

3. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  มีขั้นตอนอย่างไร?

3.1 ปรึกษาแพทย์

เมื่อไหร่: สามารถปรึกษาได้ในทุกช่วงของประจำเดือน

ใช้เวลานานแค่ไหน: 45 – 60 นาที

ในขั้นตอนนี้ คุณจะได้รับการซักถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด การตรวจอัลตราซาวน์มดลูกและรังไข่, ตรวจการทำงานของฮอร์โมน, และการตรวจอื่นๆ ตามความจำเป็น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เข้าใจสภาพร่างกายโดยรวมของคุณ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

3.2 การกระตุ้นไข่

เมื่อไหร่: วันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของการมีประจำเดือน

ใช้เวลานานแค่ไหน: 10 – 12 วัน

เมื่อเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ขั้นตอนแรกคือการกระตุ้นไข่ในรังไข่ให้โตโดยการฉีดยาฮอร์โมน โดยเริ่มฉีดวันที่ 2 หรือวันที่ 3 ของรอบเดือนของคุณ จนฟองไข่โตได้ขนาด ใช้เวลาประมาณ 9-12 วัน

ในรังไข่จะมีฟองไข่อยู่มากมาย ในฟองไข่จะประกอบด้วยเซลล์ไข่ หรือ oocyte ในแต่ละรอบเดือน ฟองไข่และเซลล์ไข่จำนวนหนึ่งจะเติบโตกลายเป็นไข่ที่โตเต็มวัย ดังนั้น เป้าหมายของการกระตุ้นไข่ คือการกระตุ้นให้ไข่ที่เตรียมโตในรอบเดือนนั้นๆ โตขึ้นให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่มีในแต่ละรอบด้วยยา เพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้ไข่โตเต็มวัยที่มีคุณภาพสูง

ระหว่างนี้ คุณต้องมาพบแพทย์ที่คลินิกทุกๆ 3-4 วัน ในช่วงเวลา 10 ถึง 12 วัน เพื่อตรวจเลือดและอัลตราซาวด์ ดูว่ารังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่อย่างไร เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว แพทย์จะให้ฉีดยากระตุ้นการตกไข่ (trigger shot) ที่เป็นฮอร์โมน human chorionic gonadotropin (hCG) หรือ leuprolide acetate (Lupron) เพื่อช่วยให้ไข่สุกและหลุดออกจากผนังของฟองไข่ พร้อมสำหรับการเก็บไข่ในขั้นตอนต่อไป

3.3 การเก็บไข่และการเก็บน้ำเชื้ออสุจิ

เมื่อไหร่: 36 ชั่วโมงหลังการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก

ใช้เวลานานแค่ไหน: 1-2 ชั่วโมง

หลังการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก 36 ชั่วโมง จะเริ่มกระบวนการเก็บไข่ โดยใช้อัลตราซาวด์นำเพื่อให้เห็นฟองไข่ชัดเจน และใช้เข็มขนาดเล็กสอดผ่านผนังช่องคลอด เข้าไปในฟองไข่และดูดเก็บไข่ออกมา ตลอดกระบวนการ แพทย์จะให้ยาสลบ คุณจึงแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ใช้เวลาในการเก็บไข่ประมาณ 15-20 นาที

ในวันเดียวกับวันเก็บไข่ คู่สมรสของคุณก็มาเก็บน้ำเชื้อ โดยปกติแล้วแนะนำให้ฝ่ายชายเก็บอสุจิในวันเดียวกับวันเก็บไข่ที่คลินิก แต่ถ้าหากฝ่ายชายไม่สามารถเก็บอสุจิในวันดังกล่าวได้ ก็สามารถมาเก็บอสุจิก่อน แล้วแช่แข็งน้ำเชื้อไว้ล่วงหน้า และละลายมาใช้ในวันเก็บไข่

วิธีการเก็บน้ำเชื้ออสุจิที่ดีที่สุดคือการช่วยตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้น้ำเชื้อปนเปื้อนกับของเหลวอื่นๆ ของฝ่ายหญิง (เช่น น้ำลาย น้ำหล่อลื่นช่องคลอด) ซึ่งอาจมีแบคทีเรียปะปนอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการปฏิสนธิ (fertilization) หรือการเพาะเลี้ยงได้ และหลังจากที่ฝ่ายชายเก็บน้ำอสุจิเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งน้ำเชื้อให้ผู้นักวิทยาศาสตร์ที่รออยู่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อเตรียมน้ำอสุจิต่อไป

นักวิทยาศาสตร์จะนำน้ำอสุจิ มาพักไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้น้ำอสุจิละลายตัวให้เหลวก่อน จากนั้นจะทำการปั่นล้างเพื่อเอาอสุจิที่ไม่เคลื่อนไหวและเศษเซลล์ต่างในน้ำอสุจิออก และทำการวิเคราะห์คุณภาพน้ำอสุจิ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่จะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจว่าจะทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หรือ ICSI โดยแพทย์จะเลือกการทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หากผลน้ำอสุจิเป็นปกติ แต่หากผลอสุจิมีคุณภาพต่ำกว่าค่ามาตรฐาน แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธี ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสให้ไข่และอสุจิปฏิสนธิได้มากขึ้น

สำหรับการปฏิสนธิด้วยวิธี IVF อสุจิจะเข้าไปปฏิสนธิกับไข่เอง ส่วนวิธี ICSI นักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิตัวที่แข็งแรงหนึ่งตัวฉีดเข้าไปในไข่ที่โตเต็มวัยโดยตรงเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ วิธี ICSI นี้ใช้เวลานานกว่าวิธี IVF และต้องทำโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญ

ไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิแล้วจะถูกเรียกว่า ‘ตัวอ่อน’

3.4 การเลี้ยงตัวอ่อน

เมื่อไหร่: หลังจากปฏิสนธิด้วยวิธี IVF หรือ ICSI

ใช้เวลานานแค่ไหน: 5-6 วัน

หลังจากที่ไข่และอสุจิปฏิสนธิจนกลายเป็น ‘ตัวอ่อน’ แล้ว ตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 5 – 6 วัน จนพัฒนาและเติบโตถึงระยะบลาสโตซิสต์ พร้อมที่จะย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก สำหรับตัวอ่อนที่ไม่สามารถเติบโตถึงระยะบลาสโตซิสต์นั้นโดยทั่วไปถือว่าเป็นตัวอ่อนที่ไม่แข็งแรง โอกาสฝังตัวในมดลูกน้อย จึงไม่ควรนำมาย้ายกลับไปสู่โพรงมดลูก กระบวนการเลี้ยงตัวอ่อนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน ที่ชำนาญการใช้งานอุปกรณ์เทคนิคขั้นสูงและวิธีการจัดการสภาพแวดล้อมภายในห้องปฏิบัติการให้เหมาะแก่การเติบโตของตัวอ่อน

ที่ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ใช้ตู้เลี้ยงตัวอ่อน GERI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ภายในเครื่องติดตั้งระบบกล้องถ่ายภาพจุลทรรศน์คุณภาพสูง หนึ่งตัวต่อหนึ่งจานเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ช่วยให้สามารถติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนได้โดยละเอียด โดยไม่ต้องขยับจานเพาะเลี้ยงหรือตัวอ่อนเลย แต่ละจานเพาะเลี้ยงเป็นอิสระแยกขาดจากกัน ทำให้สามารถควบคุมและปรับสภาวะแวดล้อมของการเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับตัวอ่อนแต่ละตัว การใช้ตู้เลี้ยงระบบแยกเลี้ยงนี้ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์เนื่องจากตัวอ่อนสามารถเจริญเติบโตในสภาวะแวดล้อมที่คงที่ไม่ถูกรบกวน  

สำหรับข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนของเรา คลิกที่นี่

3.5 การย้ายตัวอ่อน

เมื่อไหร่: หลังกระบวนการเพาะเลี้ยงตัวอ่อน

ใช้เวลานานแค่ไหน: 2 ชั่วโมง

ในขั้นตอนสุดท้าย แพทย์จะเลือกตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ ย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ผ่านกระบวนการที่ง่ายและไม่เจ็บปวด โดยตัวอ่อนถูกดูดไว้ในสายย้ายตัวอ่อน และใช้อัลตราซาวด์ช่วยนำทางให้เห็นปลายสาย ที่สอดผ่านปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูก หลังจากนั้นจะฉีดตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวที่ผนังมดลูกให้เริ่มเจริญเติบโต

ประมาณ 7-10 วันหลังจากการย้ายตัวอ่อน จะทดสอบการตั้งครรภ์ และประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ก็สามารถมาตรวจอัลตราซาวด์  เพื่อดูถุงการตั้งครรภ์ ยืนยันการตั้งครรภ์

3.6 การแช่แข็งตัวอ่อน

เมื่อไหร่: หลังจากกระบวนการย้ายตัวอ่อน

ใช้เวลานานแค่ไหน: 1-2 ชั่วโมง

สำหรับตัวอ่อนที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่ยังไม่ได้ทำการย้ายตัวอ่อน สามารถแช่แข็ง เพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต ด้วยวิธีการแช่แข็งตัวอ่อนแบบผลึกแก้ว (Vitrification) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ลดอุณหภูมิขณะแช่แข็งตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งในเซลล์ตัวอ่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายของตัวอ่อน วิธีการนี้ช่วยให้ตัวอ่อนถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างยาวนานและคงคุณภาพสูง หากเก็บรักษาไว้ในห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานสูง และควบคุมคุณภาพและติดตามปริมาณไนโตรเจนเหลว ตลอดจนตรวจเช็คความสมบูรณ์ของอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

หากคุณต้องการตั้งครรภ์อีกครั้ง ก็สามารถนำตัวอ่อนแช่แข็งเหล่านี้กลับมาใช้ได้

4. แพทย์จะย้ายตัวอ่อนกลับจำนวนมากน้อยเพียงใด?

แพทย์จะย้ายตัวอ่อนกลับจำนวนมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสภาพร่างกายของฝ่ายหญิงและคุณภาพตัวอ่อน  หากเป็นตัวอ่อนที่ได้รับการตรวจโครโมโซมและผลปกติ แพทย์จะแนะนำให้ย้ายตัวอ่อนกลับทีละหนึ่งตัว เนื่องจากตัวอ่อนที่คุณภาพดี และมีโครโมโซมที่ปกติ มีโอกาสตั้งครรภ์สูงอยู่แล้ว

5. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  ปลอดภัย/มีความเสี่ยงแค่ไหน?

การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ เช่น ภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่มาก (Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS), เลือดออกหรือติดเชื้อหลังการเก็บไข่, มีโอกาสตั้งครรภ์แฝด เป็นต้น การเลือกคลินิก IVF ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละราย ตามจำนวนไข่ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนให้น้อยที่สุด

6. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)  มีอัตราความสำเร็จเท่าไหร่?

อัตราความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว อยู่ที่ประมาณ 40 – 60% ทั้งนี้ขึ้นกับ อายุ, สาเหตุของภาวะการมีบุตรยาก, ตลอดจนลักษณะการดำเนินชีวิต คุณภาพไข่และอสุจิ ฝ่ายหญิงที่ยังอายุน้อยมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า แต่ก็มีหลายเคสของผู้เข้ารับการรักษาที่มีอายุมากและประสบความสำเร็จเช่นกัน การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆจะช่วยให้วางแผนการรักษาได้ทันท่วงที และเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นได้

7. บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับกับ เด็กหลอดแก้ว และ IVF

  1. การทำ ICSI (อิ๊กซี่) คืออะไร? แตกต่างอย่างไรกับ IVF?
  2. การทำเด็กหลอดแก้ว In Vitro Fertilization (IVF) และ Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI)
  3. การนำตัวอ่อนแช่แข็งฝังในโพรงมดลูก (Frozen Embryo Transfer: FET)

อ้างอิง:

ข่าวสารและบทความอื่นๆ

ตรวจอัลตราซาวด์เจอไข่หลายฟอง แต่พอเก็บจริงทำไมถึงได้น้อย?

ตรวจอัลตราซาวด์เจอไข่หลายฟอง แต่พอเก็บจริงทำไมถึงได้น้อย อีกหนึ่งปัญหาชวนปวดหัวของคนอยากมีลูก หาคำตอบกับคลินิคซูพีเรีย เอ.อาร์.ที.

ความลับ Vitamin D ช่วยให้ไข่และสเปิร์มมีคุณภาพ?

วิตามินดี นับว่าเป็นวิตามินที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก แต่เอ๊ะ! ทุกคนรู้กันรึเปล่านะ ว่าวิตามินดีส่งผลดีต่อคุณภาพไข่และสเปิร์มอีกด้วย

คุณมีลูกยากหรือไม่! มาดูขั้นตอนการประเมินและการทดสอบภาวะเจริญพันธุ์กันค่ะ

ธาลัสซีเมียสามารถป้องกันได้ด้วย Karyomapping ตรวจหาโรคทางพันธุกรรมในระดับยีนเดี่ยว เพื่อคัดกรองตัวอ่อนที่ปราศจากโรคใส่กลับสู่โพรงมดลูก